เมื่อเร็วๆ นี้ มีเหตุเกิดแก่คนสำคัญของวิทยากรของเรา เป็นเหตุไม่คาดฝันทำให้ถึงแก่ความตาย ในช่วงเฉพาะหน้าที่อารมณ์ยังอยู่เหนือเหตุผล หลายท่านเกิดความสับสนว่าทำไมจึงเกิดเหตุอย่างนี้แก่พวกเราผู้สร้างบารมี ได้ ผมเองก็สับสนไปเหมือนกัน แต่เราก็ต้องพยายามหาเหตุผลทั้งปวงมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ในระดับหนึ่ง ในฐานะที่เรายังพอมีสติ ไม่ได้เป็นผู้สูญเสียโดยตรง
เรามาเรียนรู้ในทางศาสนาทำไม? เราเข้าใจหลักการของศาสนาพุทธของเราแค่ไหน?
ตอบง่ายๆ คือ เพราะเราอยากพ้นทุกข์ ภัย โรค แต่เรารู้ว่าการวางแผนให้พ้นจากทุกข์ภัยโรค เอาแค่เฉพาะหน้านั้นไม่พอ ศาสนาทำให้เราเชื่อว่ามันยังมีภพหน้า การแก้ทุกข์ภัยโรคเฉพาะหน้าอาจใช้วิธีหาเงินให้รวยเข้าไว้ ก็พอจะแก้ได้ แต่มันอาจไม่ใช่คำตอบในระยะยาว จึงต้องมีการวางแผนที่ไกลขึ้นไปอีก
ผมเคยเขียนเรื่องความเชื่อของพุทธศาสนิกชน มี 3 แบบใหญ่ๆ คือเชื่อเรื่องไตรลักษณ์ เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้แปลว่าเมื่อเราเชื่อหนักไปในแบบหนึ่งแล้ว เราจะไม่เชื่อในส่วนที่เหลืออีก 2 แบบ แต่หมายความว่ามันแบ่งกันเป็นส่วนๆ ที่มีความมากน้อยต่างๆ กัน ผู้ที่เชื่อหนักไปทางไตรลักษณ์ เขาก็มีความเชื่ออีกบางส่วนในเรื่องกฏแห่งกรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมขอทำความเข้าใจไว้ตรงนี้ก่อน
วิชชาธรรมกายมีความเชื่อหนักไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รู้ว่ากายมนุษย์ของเราก็ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ แต่เรามีความคาดหวังว่าสิ่งที่ไม่ตกอยู่ในไตรลักษณ์ยังมี และเรากำลังพยายามหาหนทางไปสู่ความไม่เป็นไตรลักษณ์นั้น การที่เราอยู่ระหว่างเดินทาง ไม่ได้แปลว่าเราพ้นไปจากไตรลักษณ์แล้ว เราคงต้องพิจารณาตามหลักวิปัสสนาญาณ 10 ในหนังสิอแนวเดินวิชชาหลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดาร 1 หน้า 226-227 ถึงความไม่เที่ยงของสังขารด้วย เมื่อยังหนีกันไม่พ้นก็เกิดอารมณ์ของ สังขารุเปกขาญาณ คือ เมื่อกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ก็ต้องอมไว้ก่อน เรารู้ว่ากายมนุษย์ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เรากำลังพยายามเข้าสู่เส้นทางที่ไปให้ถึงความเป็นนิจจังสุขขังอัตตาให้ได้ในที่สุด แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครไปถึง เราก็ต้องทนอยู่กับกายมนุษย์ที่ยังจ้องแต่จะแตกดับนี้ไปก่อน
เราลองพิจารณาว่าหากเหตุนั้นเกิดแก่คนในสายไตรลักษณ์ซึ่งเขาพิจารณาเนืองๆ ว่าสังขารทั้งหลายล้วนไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา อยู่เป็นประจำ ไม่ได้มีความคาดหวังแบบเรา เขาย่อมยอมรับทุกข์นี้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่ต้องมานึกว่า ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วยเขา เขาก็จะปรับตัว และยังคงใช้ชีวิตในแบบที่เป็นอยู่ต่อไป ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล กันต่อไป
หากเหตุเกิดแก่ผู้พิจารณากฏแห่งกรรมอยู่เนืองๆ เขาย่อมนึกถึงกรรมเก่าของแต่ละบุคคลซึ่งสร้างมาไม่เหมือนกันนับภพนับชาติไม่ถ้วน กรรมไม่ดีแต่ปางก่อนก็เป็นเหตุมาตัดรอนอายุขัยลง เหตุนี้เป็นผังวางมาก่อนแล้ว แต่รู้ญาณมนุษย์เราไม่อาจรับรู้ได้ง่ายๆ ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ในความเชื่อแบบใดก็หนีกรรมปริมาณมากมายนี้ได้ยาก พวกเราต้องเสียใจกับเหตุเหล่านี้มากี่ภพกี่ชาติแล้ว สำหรับเรา เราต้องหาหนทางแก้ไขวัฏฐจักรนี้ให้ได้
แต่เมื่อเราเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราอาจผิดหวังที่ดูเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราไม่ได้ อย่างไรก็ตามเรายังก้าวไปไม่ถึงขั้น นิจจัง สุขขัง อัตตา ที่แท้จริง เรายังครองกายมนุษย์ที่ยังตกอยู่ใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ เราจึงต้องมองความจริงอันนี้ประกอบด้วย
แน่นอน ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ ไม่มีใครอยากพลัดพราก แต่มันก็เกิดเหตุแก่เราแล้ว เกิดแก่กายมนุษย์ที่ยังแก่ได้ เจ็บได้ ตายได้ ของพวกเรา เราจึงต้องทำใจว่า การมาอยู่ในโลกมนุษย์ของเรา เป็นเพียงการมาอยู่ชั่วคราว โลกใบนี้ยังไม่ใช่บ้านที่ถาวรของเรา เรามาอาศัยพักพิงสร้างบารมีกันชั่วคราวเท่านั้น แล้วเราก็ต้องคืนสังขารร่างกายอันประกอบด้วยธาตุดินน้ำไฟลมให้แก่โลก และกลับไปยังที่อยู่ที่ถาวรกว่า
ข้อคิดสุดท้ายสำหรับวิทยากรก็คือ
- ภัยมาใกล้ตัวแล้ว ถึงเวลาที่เราจะศึกษาวิชชาและสร้างบารมีกันอย่างจริงจังหรือยัง ทั้งนี้เพื่อป้องกันทุกข์ภัยโรคให้แก่ตัวเอง แล้วยังเผื่อแผ่ดูแลคนของเราให้ทั่วถึงด้วย และถึงแม้เราจะพลาดพลั้งตายไป ก็ไม่เสียดายแล้ว
- เดินวิชชา 18 กายทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
- พวกเราดูแลกันพอหรือยัง? หรือว่าเราดูแลอยู่ข้างเดียว อีกข้างยังไม่ปรบมือพร้อมกันกับเรา ก็ต้องพิจารณาด้วย
- ให้ความสำคัญกับลางบอกเหตุ และพิจารณาแก้ไข ครูอาจารย์ในวิชชาธรรมกายสอนให้เราสังเกตว่าวันไหนมี ฟ้าแดง เกิดคราส เกิดดาวหาง มีดาวมาเคียงจันทร์ ฯลฯ ต้องเข้าวิชชาแก้ไข อันนี้เราก็อย่าปล่อยปละละเลย
สุดท้าย ขอไว้อาลัยแด่ผู้ที่จากเราไป และขอแสดงความเสียใจแก่ผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ท่านทำให้พวกเราไม่ประมาทในสิ่งที่เราทำอยู่ มันเป็นบทเรียนอันมีค่ายิ่งที่แลกมาด้วยชีวิต