Pages

Friday, January 21, 2011

เหตุที่เกิดแก่วิทยากร

เมื่อเร็วๆ นี้ มีเหตุเกิดแก่คนสำคัญของวิทยากรของเรา เป็นเหตุไม่คาดฝันทำให้ถึงแก่ความตาย ในช่วงเฉพาะหน้าที่อารมณ์ยังอยู่เหนือเหตุผล หลายท่านเกิดความสับสนว่าทำไมจึงเกิดเหตุอย่างนี้แก่พวกเราผู้สร้างบารมีได้ ผมเองก็สับสนไปเหมือนกัน แต่เราก็ต้องพยายามหาเหตุผลทั้งปวงมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ในระดับหนึ่ง ในฐานะที่เรายังพอมีสติ ไม่ได้เป็นผู้สูญเสียโดยตรง

เรามาเรียนรู้ในทางศาสนาทำไม? เราเข้าใจหลักการของศาสนาพุทธของเราแค่ไหน?

ตอบง่ายๆ คือ เพราะเราอยากพ้นทุกข์ ภัย โรค แต่เรารู้ว่าการวางแผนให้พ้นจากทุกข์ภัยโรค เอาแค่เฉพาะหน้านั้นไม่พอ ศาสนาทำให้เราเชื่อว่ามันยังมีภพหน้า การแก้ทุกข์ภัยโรคเฉพาะหน้าอาจใช้วิธีหาเงินให้รวยเข้าไว้ ก็พอจะแก้ได้ แต่มันอาจไม่ใช่คำตอบในระยะยาว จึงต้องมีการวางแผนที่ไกลขึ้นไปอีก

ผมเคยเขียนเรื่องความเชื่อของพุทธศาสนิกชน มี 3 แบบใหญ่ๆ คือเชื่อเรื่องไตรลักษณ์ เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้แปลว่าเมื่อเราเชื่อหนักไปในแบบหนึ่งแล้ว เราจะไม่เชื่อในส่วนที่เหลืออีก 2 แบบ แต่หมายความว่ามันแบ่งกันเป็นส่วนๆ ที่มีความมากน้อยต่างๆ กัน ผู้ที่เชื่อหนักไปทางไตรลักษณ์ เขาก็มีความเชื่ออีกบางส่วนในเรื่องกฏแห่งกรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมขอทำความเข้าใจไว้ตรงนี้ก่อน

วิชชาธรรมกายมีความเชื่อหนักไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รู้ว่ากายมนุษย์ของเราก็ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ แต่เรามีความคาดหวังว่าสิ่งที่ไม่ตกอยู่ในไตรลักษณ์ยังมี และเรากำลังพยายามหาหนทางไปสู่ความไม่เป็นไตรลักษณ์นั้น การที่เราอยู่ระหว่างเดินทาง ไม่ได้แปลว่าเราพ้นไปจากไตรลักษณ์แล้ว เราคงต้องพิจารณาตามหลักวิปัสสนาญาณ 10 ในหนังสิอแนวเดินวิชชาหลักสูตรวิชชามรรคผลพิสดาร 1 หน้า 226-227 ถึงความไม่เที่ยงของสังขารด้วย เมื่อยังหนีกันไม่พ้นก็เกิดอารมณ์ของ สังขารุเปกขาญาณ คือ เมื่อกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ก็ต้องอมไว้ก่อน เรารู้ว่ากายมนุษย์ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เรากำลังพยายามเข้าสู่เส้นทางที่ไปให้ถึงความเป็นนิจจังสุขขังอัตตาให้ได้ในที่สุด แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครไปถึง เราก็ต้องทนอยู่กับกายมนุษย์ที่ยังจ้องแต่จะแตกดับนี้ไปก่อน

เราลองพิจารณาว่าหากเหตุนั้นเกิดแก่คนในสายไตรลักษณ์ซึ่งเขาพิจารณาเนืองๆ ว่าสังขารทั้งหลายล้วนไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา อยู่เป็นประจำ ไม่ได้มีความคาดหวังแบบเรา เขาย่อมยอมรับทุกข์นี้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่ต้องมานึกว่า ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วยเขา เขาก็จะปรับตัว และยังคงใช้ชีวิตในแบบที่เป็นอยู่ต่อไป ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล กันต่อไป

หากเหตุเกิดแก่ผู้พิจารณากฏแห่งกรรมอยู่เนืองๆ เขาย่อมนึกถึงกรรมเก่าของแต่ละบุคคลซึ่งสร้างมาไม่เหมือนกันนับภพนับชาติไม่ถ้วน กรรมไม่ดีแต่ปางก่อนก็เป็นเหตุมาตัดรอนอายุขัยลง เหตุนี้เป็นผังวางมาก่อนแล้ว แต่รู้ญาณมนุษย์เราไม่อาจรับรู้ได้ง่ายๆ ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ในความเชื่อแบบใดก็หนีกรรมปริมาณมากมายนี้ได้ยาก พวกเราต้องเสียใจกับเหตุเหล่านี้มากี่ภพกี่ชาติแล้ว สำหรับเรา เราต้องหาหนทางแก้ไขวัฏฐจักรนี้ให้ได้

แต่เมื่อเราเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราอาจผิดหวังที่ดูเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราไม่ได้ อย่างไรก็ตามเรายังก้าวไปไม่ถึงขั้น นิจจัง สุขขัง อัตตา ที่แท้จริง เรายังครองกายมนุษย์ที่ยังตกอยู่ใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ เราจึงต้องมองความจริงอันนี้ประกอบด้วย

แน่นอน ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ ไม่มีใครอยากพลัดพราก แต่มันก็เกิดเหตุแก่เราแล้ว เกิดแก่กายมนุษย์ที่ยังแก่ได้ เจ็บได้ ตายได้ ของพวกเรา เราจึงต้องทำใจว่า การมาอยู่ในโลกมนุษย์ของเรา เป็นเพียงการมาอยู่ชั่วคราว โลกใบนี้ยังไม่ใช่บ้านที่ถาวรของเรา เรามาอาศัยพักพิงสร้างบารมีกันชั่วคราวเท่านั้น แล้วเราก็ต้องคืนสังขารร่างกายอันประกอบด้วยธาตุดินน้ำไฟลมให้แก่โลก และกลับไปยังที่อยู่ที่ถาวรกว่า

ข้อคิดสุดท้ายสำหรับวิทยากรก็คือ
  • ภัยมาใกล้ตัวแล้ว ถึงเวลาที่เราจะศึกษาวิชชาและสร้างบารมีกันอย่างจริงจังหรือยัง ทั้งนี้เพื่อป้องกันทุกข์ภัยโรคให้แก่ตัวเอง แล้วยังเผื่อแผ่ดูแลคนของเราให้ทั่วถึงด้วย และถึงแม้เราจะพลาดพลั้งตายไป ก็ไม่เสียดายแล้ว
  •  เดินวิชชา 18 กายทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • พวกเราดูแลกันพอหรือยัง? หรือว่าเราดูแลอยู่ข้างเดียว อีกข้างยังไม่ปรบมือพร้อมกันกับเรา ก็ต้องพิจารณาด้วย
  • ให้ความสำคัญกับลางบอกเหตุ และพิจารณาแก้ไข ครูอาจารย์ในวิชชาธรรมกายสอนให้เราสังเกตว่าวันไหนมี ฟ้าแดง เกิดคราส เกิดดาวหาง มีดาวมาเคียงจันทร์ ฯลฯ ต้องเข้าวิชชาแก้ไข อันนี้เราก็อย่าปล่อยปละละเลย

สุดท้าย ขอไว้อาลัยแด่ผู้ที่จากเราไป และขอแสดงความเสียใจแก่ผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ท่านทำให้พวกเราไม่ประมาทในสิ่งที่เราทำอยู่ มันเป็นบทเรียนอันมีค่ายิ่งที่แลกมาด้วยชีวิต

Wednesday, January 19, 2011

หญ้าปากคอก (1)

วันนี้ เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ที่ผมได้พบความตกหล่น หรือเข้าใจผิดในวิชชาของเรา จึงขอยกตัวอย่างซัก 2 เรื่อง ดังนี้

หมุนขวาในหมุนขวา หมุนขวาทับทวีในหมุนขวาทับทวี ๆ ๆ

ไม่น่าเชื่อว่าหลายท่านเข้าใจการหมุนขวาผิด คือหมุนผิดทางกลายเป็นการหมุนซ้าย ถ้าเราถือผลลัพธ์เป็นเกณฑ์ นับว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก เพราะมันย่อมกลายเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับการเดินวิชชาของธาตุธรรมภาคขาว กว่าผมจะรับรู้ว่ามีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในหมู่เรา พวกเราก็เข้ามาเดินวิชชากันอยู่หลายปี ส่วนหนึ่งอ้างว่าเขาถนัดซ้าย เขาเลยยกมือซ้ายขึ้น แล้วหมุนๆ ให้เราดู เราจึงได้รู้ว่ามันผิดทางมาตลอด
เราจะอธิบายอย่างไร การหมุนขวาคือการหมุนตามเข็มนาฬิกา การเดินเวียนขวาก็คือเดินวนรอบตามเข็มนาฬิกา หรือให้แขนขวาของเราหันไปหาจุดที่เราเดินรอบนั้น พูดยังไงให้ง่าย ก็ลองดูรูปประกอบนะครับ

ครบสี ครบสาย ครบกาย ครบองค์ ครบวงศ์ ครบชั้น ครบตอน ครบธาตุ ครบธรรม

ปรากฏอยู่ในคำอาราธนาพระพุทธเจ้าและจักรพรรดิ์
บางท่านเห็นมีสี มีสาย ครบๆ เกรงว่าจะอาราธนาธรรมภาคอื่นมาด้วย ก็เลยตัดบทขยายส่วนนี้ออกไปเองตามลำพัง ทั้งนี้คุณลุงได้รับรู้ความนี้แล้ว และได้อธิบายมาแล้ว ก็เกิดความเข้าใจกันแล้วว่าไม่ต้องตัดออก เพราะความตอนนี้เป็นส่วนขยายของภาคผู้เลี้ยงหรือจักรพรรดิ์นั่นเอง โดยเราอาราธนานำหน้ามาก่อนว่า อีกทั้ง จุลจักร มหาจักร บรมจักร และอุดมบรมจักร ของธรรมภาคขาวทั้งปวง เราขยายด้วยธรรมภาคขาวแล้วจึงต่อด้วย ครบสี ครบสาย ครบกาย ครบ...ซึ่งหมายถึงจักรพรรดิ์คงมีการแบ่งเป็นหลายรูปแบบ หลาย categories นั่นเอง
คำพูดวิชชาเหล่านี้มีมาแต่สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว ทบทวนดูได้ในบทเรียนมรรคผลพิสดารตั้งแต่ภาคแรก ในบทเกี่ยวกับการหัดทำกายมนุษย์พิเศษ ก็มี
วันนี้เอา 2 เรื่องก่อนนะครับ