ผมมีโอกาสอยู่ในแวดวงของคนทำอาชีพเกษตร ในละแวกนี้คนของเราทำน้ำตาลมะพร้าวขาย
ปัจจุบันน้ำตาลมะพร้าวที่ไม่มีการปนเป็นเลยนั้น หายากมาก ส่วนใหญ่จะปนน้ำตาลทราย
ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าน้ำตาลมะพร้าวจริงๆ หลายเท่า บางแห่งถึงขนาดไม่มีน้ำตาลมะพร้าวแท้ปนอยู่เลย
แต่อาศัยผสมแบะแซ แป้ง สี แล้วใส่กลิ่นมะพร้าว ใส่น้ำตาลทรายซึ่งหาซื้อได้ง่ายกว่า ออกมาเป็นน้ำตาลปึกวางขาย เป็นสีน้ำตาลอ่อน บางทีออกใสๆ ค่อนข้างแข็ง
ติดป้ายว่า “น้ำตาลมะพร้าวแท้” ก็ขายได้ในราคาไม่แพงนัก
ประมาณกิโลกรัมละ 30 บาท
แต่เมื่อเราได้มาเห็นน้ำตาลมะพร้าวแท้ ที่เคี่ยวจากน้ำตาลสด ที่ได้จากการปีนขึ้นต้นมะพร้าว
ปาดงวงตาล รองน้ำตาล รอเก็บ แล้วเอามาเคี่ยวโดยไม่ปนอะไรเลย
ยกเว้นใส่สารกันบูดธรรมชาติคือไม้พะยอม ซึ่งปัจจุบันหาคนขายไม้พะยอมยากมากแล้ว
ปัจจุบันเขาใช้สารเคมีกันบูดกันหมดแล้ว การจะมีน้ำตาลหรือไม่ ก็ขึ้นกับฤดูกาล
บางฤดูมะพร้าวไม่ออกงวง ก็ไม่มีน้ำตาลมะพร้าวให้เคี่ยว ต้องเว้นไปหลายเดือน
พอเริ่มมี วันๆ หนึ่งอาจเคี่ยวตาล (มะพร้าว) ได้แค่ 1-6 กิโลกรัม และจำเป็นต้องขายในราคา
กก ละ 50 บาท ลักษณะก้อนน้ำตาลปึก ออกสีน้ำตาลเข้มบ้างอ่อนบ้าง
ตามลักษณะงานที่ทำด้วยมือ นิ่มๆ เอามือบี้พอได้ หากวางซ้อนกันอาจจะเสียรูปทรง
โดนความร้อนอาจจะละลาย ซึ่งปัจจุบันนี้เราไม่ชินตากับน้ำตาลในลักษณะนี้เลย
เพราะตั้งแต่เกิดมาบางท่านเข้าใจลักษณะน้ำตาลปี๊บ
น้ำตาลมะพร้าวในแบบสีน้ำตาลอ่อนดังที่กล่าวมาข้างต้น แถมราคาขายก็ถูกกว่าเกือบเท่าตัว แต่น้ำตาลมะพร้าวแท้ มีรสชาติและกลิ่นที่หอมหวานมาก การเป็นของธรรมชาติจึงน่าจะมีคุณประโยชน์กว่า
ความไม่รู้ ทำให้เราเลือกซื้อน้ำตาลที่มีการปนเป็น
มากกว่าจะยอมซื้อน้ำตาลมะพร้าวแท้ที่วางขายในราคาแพงกว่า เราเอาราคามาเป็นเครื่องตัดสินใจ
และเอาความเคยชินที่เคยเห็นลักษณะของผสมโดยเข้าใจผิดว่าเป็นของแท้มาโดยตลอด
ผมเคยไปเที่ยวจังหวัดแถบชายแดนอิสาน มีตลาดใหญ่ขายหมูยอเป็นมัด ห่อใบตอง
มัดละ 10 อัน 100 บาท (ในสมัยนั้น) เขาให้ลองชิม หมูยอที่เขาเอามาตัดแบ่งให้เรากิน
เป็นเนื้อหมูก้อนใหญ่ มีรสชาติอร่อย เราจึงซื้อกันคนละมัดสองมัด เมื่อกลับมาเปิดที่บ้าน
ปรากฏว่าหมูยอที่ได้ ถูกห่อมาในเปลือกใบตองอย่างหนา ส่วนเนื้อหมูเป็นแค่เส้นหมูผอมเรียวเหมือนนิ้วมือ
ผิดกับชิ้นที่เขาตัดให้เราชิม มีขนาดใหญ่เท่าแขนเด็ก
แม้เพื่อนเราที่ซื้อจากเจ้าอื่นใกล้เคียงก็มีลักษณะแบบเดียวกัน
จริงๆ แล้ว วันนั้นผมก็เดินไปพบร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งขายในราคา 10 อัน 150 บาท เขาบอกว่าของเขาเนื้อเต็ม ถ้าจะเอาราคาถูกก็จะได้แต่ใบตอง เราพยายามต่อรองให้เขาลดราคาลงมา
เขาก็ไม่ยอมลด จนดูเหมือนคนขายเริ่มออกอาการหงุดหงิดที่เราต่อราคา
สุดท้ายเราไม่ได้ซื้อมา แต่เมื่อเรามาเจอของหลอกลวงเข้าแล้ว จึงหวนกลับไปคิดถึงแม่ค้าท่านนี้
ท่านคงเจอะเจอการต่อราคาจนเบื่อที่จะเจรจา เพราะราคาขายสูงกว่าคนอื่น
ผมไม่รู้ว่าปัจจุบันท่านจะยังคงขายของเต็มชิ้นแบบเดิมอยู่อีกหรือเปล่า
นั่นเป็นตัวอย่างเรื่องเล็กๆ ทั่วไปในทางโลก หากเป็นเรื่องทางธรรม
ยิ่งยากกว่าหลายเท่านัก เพราะตัวชี้วัดความจริงในทางธรรม ดูยากกว่า คนส่วนใหญ่ต้องการความเจริญก้าวหน้าที่เห็นผลในทันที
จึงเอาหลักโลกธรรม 8 มาเป็นตัวชี้วัดเฉพาะหน้า แม้สถานภาพผู้สอนธรรม
หากไม่มีภาพลักษณ์อันแสดงถึงความน่าเชื่อถือในทางโลกอยู่บ้าง
ก็อาจจะไม่อยู่ในสายตาของผู้เรียนเท่าใดนัก