Pages

Wednesday, December 28, 2016

การได้พบของจริงนั้นยากยิ่ง

ผมมีโอกาสอยู่ในแวดวงของคนทำอาชีพเกษตร ในละแวกนี้คนของเราทำน้ำตาลมะพร้าวขาย ปัจจุบันน้ำตาลมะพร้าวที่ไม่มีการปนเป็นเลยนั้น หายากมาก ส่วนใหญ่จะปนน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าน้ำตาลมะพร้าวจริงๆ หลายเท่า บางแห่งถึงขนาดไม่มีน้ำตาลมะพร้าวแท้ปนอยู่เลย แต่อาศัยผสมแบะแซ แป้ง สี แล้วใส่กลิ่นมะพร้าว ใส่น้ำตาลทรายซึ่งหาซื้อได้ง่ายกว่า ออกมาเป็นน้ำตาลปึกวางขาย เป็นสีน้ำตาลอ่อน บางทีออกใสๆ ค่อนข้างแข็ง ติดป้ายว่า น้ำตาลมะพร้าวแท้ ก็ขายได้ในราคาไม่แพงนัก ประมาณกิโลกรัมละ 30 บาท

แต่เมื่อเราได้มาเห็นน้ำตาลมะพร้าวแท้ ที่เคี่ยวจากน้ำตาลสด ที่ได้จากการปีนขึ้นต้นมะพร้าว ปาดงวงตาล รองน้ำตาล รอเก็บ แล้วเอามาเคี่ยวโดยไม่ปนอะไรเลย ยกเว้นใส่สารกันบูดธรรมชาติคือไม้พะยอม ซึ่งปัจจุบันหาคนขายไม้พะยอมยากมากแล้ว ปัจจุบันเขาใช้สารเคมีกันบูดกันหมดแล้ว การจะมีน้ำตาลหรือไม่ ก็ขึ้นกับฤดูกาล บางฤดูมะพร้าวไม่ออกงวง ก็ไม่มีน้ำตาลมะพร้าวให้เคี่ยว ต้องเว้นไปหลายเดือน พอเริ่มมี วันๆ หนึ่งอาจเคี่ยวตาล (มะพร้าว) ได้แค่ 1-6 กิโลกรัม และจำเป็นต้องขายในราคา กก ละ 50 บาท ลักษณะก้อนน้ำตาลปึก ออกสีน้ำตาลเข้มบ้างอ่อนบ้าง ตามลักษณะงานที่ทำด้วยมือ นิ่มๆ เอามือบี้พอได้ หากวางซ้อนกันอาจจะเสียรูปทรง โดนความร้อนอาจจะละลาย ซึ่งปัจจุบันนี้เราไม่ชินตากับน้ำตาลในลักษณะนี้เลย เพราะตั้งแต่เกิดมาบางท่านเข้าใจลักษณะน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลมะพร้าวในแบบสีน้ำตาลอ่อนดังที่กล่าวมาข้างต้น แถมราคาขายก็ถูกกว่าเกือบเท่าตัว แต่น้ำตาลมะพร้าวแท้ มีรสชาติและกลิ่นที่หอมหวานมาก การเป็นของธรรมชาติจึงน่าจะมีคุณประโยชน์กว่า

ความไม่รู้ ทำให้เราเลือกซื้อน้ำตาลที่มีการปนเป็น มากกว่าจะยอมซื้อน้ำตาลมะพร้าวแท้ที่วางขายในราคาแพงกว่า เราเอาราคามาเป็นเครื่องตัดสินใจ และเอาความเคยชินที่เคยเห็นลักษณะของผสมโดยเข้าใจผิดว่าเป็นของแท้มาโดยตลอด

ผมเคยไปเที่ยวจังหวัดแถบชายแดนอิสาน มีตลาดใหญ่ขายหมูยอเป็นมัด ห่อใบตอง มัดละ 10 อัน 100 บาท (ในสมัยนั้น) เขาให้ลองชิม หมูยอที่เขาเอามาตัดแบ่งให้เรากิน เป็นเนื้อหมูก้อนใหญ่ มีรสชาติอร่อย เราจึงซื้อกันคนละมัดสองมัด เมื่อกลับมาเปิดที่บ้าน ปรากฏว่าหมูยอที่ได้ ถูกห่อมาในเปลือกใบตองอย่างหนา ส่วนเนื้อหมูเป็นแค่เส้นหมูผอมเรียวเหมือนนิ้วมือ ผิดกับชิ้นที่เขาตัดให้เราชิม มีขนาดใหญ่เท่าแขนเด็ก แม้เพื่อนเราที่ซื้อจากเจ้าอื่นใกล้เคียงก็มีลักษณะแบบเดียวกัน

จริงๆ แล้ว วันนั้นผมก็เดินไปพบร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งขายในราคา 10 อัน 150 บาท เขาบอกว่าของเขาเนื้อเต็ม ถ้าจะเอาราคาถูกก็จะได้แต่ใบตอง เราพยายามต่อรองให้เขาลดราคาลงมา เขาก็ไม่ยอมลด จนดูเหมือนคนขายเริ่มออกอาการหงุดหงิดที่เราต่อราคา สุดท้ายเราไม่ได้ซื้อมา แต่เมื่อเรามาเจอของหลอกลวงเข้าแล้ว จึงหวนกลับไปคิดถึงแม่ค้าท่านนี้ ท่านคงเจอะเจอการต่อราคาจนเบื่อที่จะเจรจา เพราะราคาขายสูงกว่าคนอื่น ผมไม่รู้ว่าปัจจุบันท่านจะยังคงขายของเต็มชิ้นแบบเดิมอยู่อีกหรือเปล่า

นั่นเป็นตัวอย่างเรื่องเล็กๆ ทั่วไปในทางโลก หากเป็นเรื่องทางธรรม ยิ่งยากกว่าหลายเท่านัก เพราะตัวชี้วัดความจริงในทางธรรม ดูยากกว่า คนส่วนใหญ่ต้องการความเจริญก้าวหน้าที่เห็นผลในทันที จึงเอาหลักโลกธรรม 8 มาเป็นตัวชี้วัดเฉพาะหน้า แม้สถานภาพผู้สอนธรรม หากไม่มีภาพลักษณ์อันแสดงถึงความน่าเชื่อถือในทางโลกอยู่บ้าง ก็อาจจะไม่อยู่ในสายตาของผู้เรียนเท่าใดนัก

การค้นพบความจริงแท้ ไม่ว่าในสิ่งใด จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง อุปสรรคสำคัญที่สุด คือ การตัดสิน ใจของเราเอง นั่นแหละ

Saturday, October 15, 2016

เงื่อนเวลา กับรู้ญาณ

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มักเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าอยู่เสมอ เคยบอกผมว่าร้านผมจะเปลี่ยนรูปแบบใหม่ เป็นลักษณะอย่างอื่นที่ไม่เหมือนเวลานั้น อีกไม่นาน ผมก็ต้องย้ายร้าน เขาเคยบอกเพื่อนอีกคนว่าที่ทำงานจะต้องเปลี่ยนทางเข้าออก จะต้องขึ้นป้ายใหญ่สีเขียว มีข้อความอย่างนั้นๆ แต่ที่ทำงานก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงซักที จนเขาไปเรียนต่อและไม่ได้กลับมาทำงานที่เดิมอีก แต่เขาก็ยังเฝ้าถามถึงสิ่งที่เขาเห็นในรู้ญาณมาตลอด จนเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 20 ปี ที่ทำงานแห่งนี้จึงเปลี่ยนภูมิทัศน์เป็นแบบที่เขาเห็นมาก่อนหน้าทุกประการ

แต่การรู้เห็นอีกส่วนหนึ่ง กลับเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว จนทำให้ผู้รู้เห็นอยู่ไม่เป็นสุข เหมือนเราเห็นผี และลางไม่ดีอยู่ตลอดเวลา เราเคยไปปรึกษาอาจารย์ทางวิชชาธรรมกายที่วัดปากน้ำ ท่านบอกว่าเป็นรู้ญาณของภาคมาร จึงทำให้เราไม่เป็นสุข ต้องแก้ไข

หลังจากเราไม่ได้ติดต่อกันมานาน เขาก็กลับมาเล่าเรื่องราวรวบยอดให้เราฟังอีกครั้ง มีรู้ญาณสำคัญที่มีผลต่อการสร้างบารมี คือ ธรรมภาคมารได้มาต่อรองไม่ให้มาอยู่กับหมู่คณะสอนธรรม มิฉะนั้นเขาจะขัดขวางทุกอย่าง หากไม่มา เขาจะไม่ยุ่งด้วย เพื่อนท่านนี้ได้หลีกจากคณะสอนธรรมไประยะหนึ่ง แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ตกลงกัน ภาคมารยังเข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายอยู่เสมอ จนต้องตัดสินใจกลับมาเล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้เราได้รับรู้กันอีกครั้ง

ข้อมูลที่เล่ามา ทำให้เราพิจารณาได้ ดังนี้

บางที การไม่รู้อะไรเสียบ้าง (เมื่อยังไม่ถึงเวลา) ก็อาจจะดีเหมือนกัน

หากเราสร้างบารมีโดยเรามองเห็น สิ่งน่ากลัวที่จ้องขัดขวางเราอย่างชัดเจนอยู่ตลอดเวลา เราคงทำงานอย่างลำบากยากยิ่ง เมื่อเราเริ่มสร้างบารมีใหม่ๆ เราอาจจะต้องอาศัยการชิงไหวชิงพริบกับธรรมคนละภาคซึ่งปนเป็นอยู่กับเรา ต้องอาศัย ต้องสร้างบารมีต่อยอดมาจากผู้คนมากหน้าหลายตา ตอนยังมีมารเต็มอัตราศึก ย่อมทำให้เราทำงานได้ไม่สนิทใจ

บางครั้งจึงต้องขอบคุณ ที่เรายังไม่มี รู้ญาณที่คมกล้าขนาดนั้น ในเวลาที่เรายังไม่แข็งแรง เราจึงต้องอาศัยหลัก เหตุผลทำงานไปจนกว่าเราจะบรรลุเป้าหมาย โดยอาศัยครูบาอาจารย์ที่คอยประคับประคองเรามาโดยตลอด

เหตุการณ์ที่จะเกิดแก่ ขันธโลก สัตว์โลก หรืออากาสโลก สามารถรู้เห็นล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี เชียวหรือ?

การเปลี่ยนแปลงของสถานที่ทำงานอย่างที่เพื่อนผมเห็นมาก่อนถึง 20 ปี เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง หากไม่เกิดแก่ตัวเรา ก็คงเชื่อยาก ในทางวิชชามีการคำนวณ อดีต ปัจจุบัน อนาคต กล่าวไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เงื่อนเวลาเหล่านี้อาจจะอยู่ในจุดเดียวกัน และเราคำนวณเห็นได้ในตอนเดินวิชชา จึงเป็นเรื่องไม่แปลก แต่เหตุการณ์จะขยายออกมาสู่ชีวิตภายนอกเมื่อไหร่ เท่านั้นเอง

นี่เป็นเรื่องในโลกมนุษย์ หากเป็นเรื่องในธาตุในธรรมจะเป็นอย่างไร

ทำให้ผมนึกถึงงานของคุณลุง ที่หลายครั้งธาตุธรรมจะบอกอะไรแก่ลุงเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญหลายอย่าง แต่เมื่อเราซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชน ได้รับทราบ เรายังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนัก จึงน่าจะเปรียบเทียบกับกรณีที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น

เมื่อธาตุธรรมเป็นผู้รู้เห็น เราจะเห็นความชัดเจนของเหตุการณ์เหล่านั้นได้เมื่อไหร่ เป็นเรื่องน่าคิด เวลาของเรา กับเวลาของธาตุธรรม น่าจะเป็นมิติที่มนุษย์มองได้ยากขึ้น

คำว่าชัดเจน คือ เห็นผลในโลกมนุษย์เราโดยไม่ต้องตีความ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า เหตุการณ์ทั้งปวงจะต้องเกิดขึ้น อย่างแน่นอน