ขันธ์
เป็นส่วนประกอบสำคัญของ ขันธโลก (จากบทความ เราคือใคร)
ขันธ์
5
มีอธิบายในหลักสูตรวิชชาธรรมกายชั้นสูง ในเล่ม มรรคผลพิสดารภาค 1 ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
คุณลุงได้ทำคำอธิบายวิธีเดินวิชชาไว้อย่างละเอียดแล้ว
และผมได้เอามาทำเป็นแผนภูมิเพื่อให้ทบทวนได้ง่ายๆ ไปแล้ว
แต่วันนี้
จะมาคุยจากพื้นฐานกัน
ขันธ์
5 ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
หากศึกษาโดยวิธีตีความจากถ้อยคำ
อาจจะมีความลึกซึ้งจนเข้าใจยาก เราควรมองจากภาพรวมของตัวเราเข้าไป
มนุษย์มาเกิด
มีสมบัติติดตัวมา 2 อย่าง คือ กาย กับ ใจ
กาย
เป็นสิ่งจับต้องได้ มีตัวตนให้เห็น ส่วน ใจ จับต้องไม่ได้ ไม่มีรูปร่าง
ไม่มีตัวตน เรารู้ว่ามีใจ เพราะเราสัมผัสได้ถึงหน้าที่ของใจ 4 อย่าง คือ เห็น จำ คิด รู้ นั่นเอง
ผู้ที่สามารถแยกแยะหน้าที่ของใจได้ลึกซึ้งขนาดนี้
มีหลวงพ่อวัดปากน้ำองค์เดียวเท่านั้น
การศึกษาเรื่อง
กาย ผู้ที่อบรมทางแพทย์ย่อมรู้ดี โดยเฉพาะตอนเรียนวิชากายวิภาค (Anatomy)
กาย
หากไม่มีใจครอง กายนั้นก็เป็นเพียงซากศพ มนุษย์ที่มีชีวิต ต้องมีใจ
หรือเรียกให้ละเอียดคือ มีจิต มีวิญญาณ ครอง
การจะดู
ใจ กระทั่งแยกแยะ ใจ ออกเป็นส่วนๆ เป็นเรื่องยาก
แต่ไม่พ้นความเพียรพยายามของผู้รู้ หากเทียบกับกาย ก็เหมือนเรากำลังศึกษา anatomy ของใจ นั่นเอง
ในทางวิชชาธรรมกาย
เราเรียนรู้โดยการ “เห็น” ก่อนจะผ่านมาถึงขันธ์
เราต้องผ่าน (เห็น) ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายเสียก่อน แล้วเห็นกำเนิดเดิม (ศูนย์รวมของความเป็นตัวเราในชาตินี้)
เป็นจุดเล็กใสเท่าปลายเข็ม แล้วจึงเข้าไปถึงขันธ์
รูปขันธ์
คือ ส่วนละเอียดของกาย เป็นดวงกลมใส ลึกเข้าไป เป็น เวทนาขันธ์
คือส่วนละเอียดของเห็น เข้าไปอีกเป็น สัญญาขันธ์ ส่วนละเอียดของจำ
สังขารขันธ์ ส่วนละเอียดของคิด วิญญาณขันธ์ ส่วนละเอียดของรู้ เป็นลำดับไป
เรียบเรียงง่ายๆ
คือ
รูป
- กาย
เวทนา
- เห็น
สัญญา
- จำ
สังขาร
- คิด
วิญญาณ
- รู้
ก็คือ
กาย กับ ใจ ที่แยกส่วนให้ละเอียดขึ้น นั่นเอง
เห็นขันธ์
5 แล้ว มีบทเรียนต่อไปอย่างไร?
ก็ไปดูให้ครบ
ขันธ์ติดต่อกับโลกภายนอกด้วย “อายตนะ 12”
แล้วส่งข้อมูลผ่านไปตาม “ธาตุ 18”
มีการตีความ พอใจไม่พอใจ โดยอาศัย “อินทรีย์
22” ของแต่ละบุคคล ทำให้ตีความไม่เหมือนกัน
อ่อนแก่หยาบละเอียด ไม่เท่ากัน แต่ผมจะไม่ลงลึกในรายละเอียดเหล่านี้ในตอนนี้
อยากให้ดูบทเรียนต่อเนื่องเรื่องขันธ์ ซึ่งมีอยู่ในตำราต่อไป คือ
ท่านให้ไปดูว่า
ขันธ์ เป็นอยู่อย่างไร พบว่าขันธ์ของกายมนุษย์ ถูกปกครองด้วยทุกข์สมุทัยเต็มรูปแบบ
มีแก่เจ็บตาย เป็นเบื้องหน้า ด้วยกันหมดทั้งสิ้น เราเห็นดวงทุกข์สมุทัย
(เป็นดวงดำ) หุ้มที่ดวงเห็นจำคิดรู้ของกายมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ ตำรายังให้ไปดูว่า
เวลาตายกายละเอียดออกจากร่างมนุษย์อย่างไร
โดยไปหาดูจากคนที่กำลังจะตายตามโรงพยาบาล มีการส่งมอบขันธ์ไปให้กายละเอียดข้างใน มีการเก็บรักษารูปแบบขันธ์เอาไว้ (โดยใคร?) เหล่านี้มีในบทเรียนทั้งสิ้น
นี่แหละจึงสรุปได้ว่ากายมนุษย์ ตกอยู่ในไตรลักษณ์ (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา) และมีครบถ้วนทั้ง แก่เจ็บตาย
ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ประจำเหล่านี้ไปได้
ตำราก็ให้ไปดูขันธ์ของกายอื่นๆ
ตั้งแต่ กายทิพย์ กาย(รูป)พรหม กายอรูปพรหม จนถึงกายธรรม โดยจะเห็นดวงทุกข์สมุทัย
หุ้ม เห็นจำคิดรู้ ของกายนั้นๆ พบว่า กายทิพย์ก็ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์
แต่ไม่เต็มรูปแบบเหมือนกายมนุษย์ มี เกิดกับตาย ไม่มีแก่ไม่มีเจ็บ
กายพรหมกายอรูปพรหม คล้ายๆ กายทิพย์ แต่อายุยืนยาวมาก จนผู้ปฏิบัติยุคแรกๆ
เข้าใจว่าเป็นอมตะ ไม่ตายแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังตายอยู่ดี ครั้นไปถึงกายธรรม
ไม่พบทุกข์สมุทัยมาหุ้มแล้ว แต่กายธรรมต้นๆ ยังมีกิเลสระดับบางๆ หุ้มอยู่
ต้องเข้าไปจนถึงกายธรรมที่ตรัสรู้แล้วนั่นแหละ จึงจะพอฟังได้
ที่อยากจะสื่อให้เข้าใจตอนนี้คือ
หากเราเข้าไม่ถึง กายต่างๆ ที่กล่าวมา เราก็ รู้เห็นเป็น
แค่กายมนุษย์กายนี้เท่านั้น มองไปทางไหนก็เห็นอยู่แค่นี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร
กายมนุษย์กายนี้ก็หนีแก่เจ็บตายไปไม่พ้น จึงมีบางความรู้ ให้ "ปล่อยวาง"
ซะเลย ยอมรับซะเลยว่าเป็นธรรมดาของสังขาร เราไม่อาจหนีพ้นไปได้
มันก็ถูกต้องสำหรับการรู้เห็นแค่กายมนุษย์กายเดียว แต่ความรู้ท่านยังไปไม่ถึงไหน
อยากเข้าใจชีวิตอย่างละเอียด
มาเรียนวิชชาธรรมกายกัน วิชชาธรรมกายมีทั้งรู้ญาณ และเหตุผล
หากท่านเป็นน้ำเต็มแก้ว ก็ไม่มีใครเอาอะไรมาเติมได้อีกแล้ว ท่านจะติดโลก
ติดกระโหลกกะลา ไปทำไมกัน ที่ว่า "ติด" เพราะท่านไปไม่พ้นจากกายมนุษย์ของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านคิดว่าท่าน "ปล่อยวาง" แล้วก็ตาม
วันเวลาที่ล่วงไปๆ
ได้คร่าชีวิตสรรพสัตว์ไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ตายไปก็อย่าให้หลงตาย ไม่ได้ความรู้อะไรเลย
นิพนธ์
หลงประดิษฐ์
10 ม.ค. 2562