Pages

Tuesday, September 8, 2009

Meditation Concept

Meditation Concept


As I mentioned on my first blog that we have 2 both valuable things in life, body and mind. I have mentioned how to take care of our bodies. In this article I will discuss how to take care of our minds. Mind is boss. Body is slave. Mind orders. Then body follows. We cannot have only strong body to make us happy, because happiness does come from our minds.

The body needs nutrition, rest, and exercise. The mind needs them too. Nutrition of the mind comes from the things we see, hear, smell, taste, touch, and sense. The mind needs the rest and relaxation also. But human way of life, we often cannot control most of the things we face. We cannot always see beautiful scenes, hear sweet sounds, smell sweet things, anything else that good. So we should control our minds to tolerate surrounding world. That’s why we must exercise the mind.

Why do we take the exercise to our bodies? Because exercise makes the body be strong. Strong body can do much work and tolerate physical stress. So we won’t get sick easily. The body is tangibles that we can touch. Muscle has the function to force for workout. So we gradually put extra force to the muscle to make it stronger.

The mind is intangibles we cannot see, or touch it. But we can sense it. How can we exercise the mind? The concept is as of the body. The functions of the mind are seeing, remembering, thinking, and knowing. We can develop the mind from its functions.

What is meditation? How to do meditation? We put extra work to the mind by providing the mind to see, remember, think, and know something; such as a clear crystal ball. We saw it at first with our eyes. Then close the eyes. Try using our mind to recall, and think or imagine about it, as clear and as long as possible. You will realize that someone cannot think of that crystal ball as clear as he wants. Sometimes he wanders his thinking to other things, that and that and that. At the first time we may think of a crystal ball as little clear as about 20%. I compare to weight training exercise that we can first lift the weight about 2 kg. If we try harder, we may think of it clearer about 50%, compared to weight lift of 5 kg. Try harder and harder then we can think of that clear crystal ball about 100% compared to weight lift of 10 kg. And we just say another word that we can SEE that crystal ball with our minds.

When we have a workout on our bodies, we should set the target. We can lift the extra weight. So we know that our bodies are stronger. When the mind can know, remember, think, and then see the thing we input clearer. We know that our mind is stronger too. At this point we can sense the mind security that we have not been before. Try it.

Just practice!
Dr.Niphon Longpradit M.D.

Monday, June 8, 2009

ศรัทธา กับ ปัญญา

ศรัทธา กับ ปัญญา, รู้ญาณ กับ เหตุผล, งมงาย กับ ความสงสัย, ความเชื่อ กับ ความเป็นจริง

การเข้าถึงความรู้หรือความเป็นจริงในสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะในทางศาสนา ล้วนมีตาชั่งระหว่าง ศรัทธากับปัญญา รู้ญาณกับเหตุผล งมงายกับความสงสัย ความเชื่อกับความเป็นจริง ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งสิ้น สิ่งใดก็ตามที่เรายังเข้าไม่ถึงหรือยังไม่สามารถรับรู้เรื่องราวของมันได้ทั้งหมด เรามักต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นๆ นำหน้าไปก่อน เมื่อความจริงในสิ่งเหล่านั้นเริ่มเห็นประจักษ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จากกาลเวลาที่ผ่านไป หรือจากการพิสูจน์ได้จนเป็นที่ยอมรับ ศรัทธาก็จะเปลี่ยนไปเป็นปัญญารู้แจ้งในสิ่งนั้นๆ ขึ้นมา

เราจึงเห็นได้ว่า ปัญญาหรือเหตุผล มักเป็นสิ่งสุดท้ายอันเป็นผลลัพธ์ ครูบาอาจารย์จึงให้ยึดเหตุผลเป็นหลักไว้ก่อน และยึดเรื่องรู้ญาณหรือศรัทธาหรือสังหรณ์ เป็นเรื่องรอง จริงๆ แล้ว มนุษย์เราก็ย่อมต้องมีทั้ง 2 สิ่ง เพียงแต่ควรนำหน้าไว้ด้วยปัญญา ไม่ใช่เชื่อตามเขาไปหมดจนกลายเป็นความงมงาย หรือไม่ยอมเชื่ออะไรเลย หาว่าพิสูจน์ให้เห็นจริงยังไม่ได้ก็จะไม่เชื่อ มันก็จะกลายเป็นดื้อด้าน ขี้สงสัย จนไม่ยอมรับรู้อะไร แล้วพลาดในสิ่งที่ตัวเองควรศึกษา ควรรับรู้ เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตอย่างยิ่งเลยก็ได้ เพียงแต่ตนเองยังไม่อาจพิสูจน์ได้ในตอนนั้นเท่านั้น

ในวิชชาธรรมกาย เราเลื่อมใสหลวงพ่อวัดปากน้ำ เพราะเหตุทั้ง 2 อย่างที่ผมยกมา แต่ส่วนใหญ่จะศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อ ก็มาขอพึ่งใบบุญ พึ่งบารมีท่าน แต่หากเราจะดูให้ลึกซึ้ง เราต้องถามว่าวิชชาธรรมกายศักดิ์สิทธิ์เพราะอะไร ถ้าเราเรียนรู้ต่อ เราจะทราบว่าวิชชานี้ศักดิ์สิทธิ์เพราะมีความรู้ถึงที่มาของการแก้ทุกข์ภัยโรคทั้งปวง ว่าต้นตอของทุกข์ภัยโรคนั้นอยู่ที่ไหน เราก็เข้าไปแก้ไขตามความรู้ที่เราเข้าไปถึง ทุกข์ภัยโรคก็หาย เกิดความศักดิ์สิทธิ์จากความรู้นี้เอง รู้ว่าสมบัติคุณสมบัติทั้งปวงเกิดขึ้นได้เพราะอะไร เราก็สร้างเหตุจากความรู้เหล่านั้น ผลย่อมเกิดตามมาเป็นธรรมดา หากเราได้เรียนรู้เนื้อหาจริงๆ เราก็กลายเป็นคนศักดิ์สิทธิ์อย่างหลวงพ่อได้ ชื่อว่าบูชาหลวงพ่อด้วยปฏิบัติบูชาด้วยซ้ำ

สรุปคือ เหตุผลต้องอยู่เหนือรู้ญาณ ปัญญาต้องมีให้เหนือศรัทธา แต่อย่ากลายเป็นดื้อด้าน และเมื่อความจริงปรากฏ ความเชื่อของเราจะเปลี่ยนไปสู่รูปแบบของความจริงอันนั้นนั่นเอง

Friday, May 22, 2009

อะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกอะไรผิด

อะไรดีอะไรไม่ดี  อะไรถูกอะไรผิด

เหตุการณ์อย่างหนึ่ง เราผู้เป็นมนุษย์ซึ่งมีปัญญาอันน้อยนิด ไม่สามารถตีความได้เลยว่า เป็นฝีมือใคร ขาวหรือดำ ดีหรือไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น

ข้าราชการวิ่งเต้นขอย้ายไป จ.สุพรรณบุรี แต่เอาเข้าจริงกลับถูกย้ายไปลง จ.อ่างทอง ความรู้สึกขณะนั้น คือความผิดหวังอันใหญ่หลวง ความไม่สะดวกนานาประการที่ไม่ได้เตรียมตัวถาโถมกันเข้ามา แต่การณ์กลับปรากฏว่าท่านได้ไปพบครูบาอาจารย์ในวิชชาธรรมกายชั้นสูง เป็นเหตุให้ได้แก้ไขวิชชาของตน และนำมาใช้ปฏิบัติได้สืบมาจนทุกวันนี้

วิทยากรท่านหนึ่งมีงานสอนธรรมะร่วมกับหมู่คณะอยู่ใน กทม. ที่กำลังไปได้สวย อยู่ดีๆ ถูกย้ายไป จ.ระยอง ตอนแรกก็นึกอย่างเดียวว่าถูกมารขวางงานสอน  แต่สุดท้ายวิทยากรท่านนั้นสามารถไปเปิดงานสอนใน จ.ระยองได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นงานสอนใหญ่ และเป็นที่ยอมรับจนทุกวันนี้ หากยังอยู่ใน กทม. ป่านนี้ก็ยังเป็นได้แค่วิทยากรผู้ช่วย คอยติดตามงานสอนของวิทยากรผู้ใหญ่เท่านั้น

วิทยากรอีกท่านหนึ่ง ตอนเป็นเด็ก เห็นธรรมกายชัดเจน พอเข้าวัดๆ หนึ่ง ธรรมกายที่เคยเห็นก็ดับลง ควรเป็นฝีมือของใคร แต่ธรรมกายมาเกิดใหม่ในยุคงานสอนตามโรงเรียน ทำให้วิทยากรท่านนั้นมีโอกาสมาทำงานสอนด้วยตนเองเต็มตัว หากยังเห็นธรรมกายขณะเข้าวัด ป่านนี้ ก็คงบวชตลอดชีวิตไปแล้ว ไม่มีโอกาสมาทำงานสอนด้วยตนเองอย่างที่เป็นอยู่

แพทย์ท่านหนึ่งทะเลาะกับเจ้านายจนตัดสินใจลาออกจากราชการ กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตนเองประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจขายตรงธุรกิจหนึ่ง ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว มีกรอบความคิดที่กว้างขวางขึ้น ชีวิตมีความสุขมากกว่าเดิม กลายเป็นว่าต้องขอบใจเจ้านายคนนั้น

แม้ตัวอย่างที่ยกมาบางอันจะหนักไปทางความเชื่อในวิชชาธรรมกาย แต่ท่านผู้อ่านสามารถอุปมาอุปมัยเหตุการณ์เป็นตัวอย่างได้ อะไรก็ตามที่เกิดแก่ชีวิตเรา มันอาจดูขัดใจในตอนต้นๆ เพราะปัญญามนุษย์อย่างเราสาวไปไม่ถึงเหตุการณ์ทั้งอดีตปัจจุบันอนาคตที่ลึกพอ เราจึงได้แต่ตัดสินใจเฉพาะหน้า แต่เอาเข้าจริงเหตุการณ์นั้นกลับพลิกชีวิตเราให้เป็นไปในทางที่ดีอย่างคาดไม่ถึง เราจึงควรมองเหตุการณ์อย่างเป็นกลางไปก่อน ทำใจเราให้ใสสว่างเข้าไว้ ทุกอย่างจะค่อยๆ เปลี่ยนกลับมาดีเอง

สุดท้าย ใจเรานี่แหละเป็นใหญ่ ใจเรานี่แหละเป็นประธาน นั่นเอง