Pages

Thursday, January 12, 2012

วินิจฉัย


การหาข้อสรุปทางความรู้ใดใด หรือการให้ได้มาซึ่งคำวินิจฉัยซึ่งเป็นข้อสรุปสุดท้าย จำเป็นจะต้องหาข้อมูลประกอบเพื่อการพิจารณาให้มากส่วน เพื่อไม่ให้การวินิจฉัยของเราผิดพลาด ข้อมูลแต่ละส่วนก็อาจมีข้อมูลย่อยอีกหลายๆ ส่วนแตกแขนงออกไปอีก กระบวนการเหล่านี้มีอยู่ในทุกวิชาชีพ ดังรูป เช่น การให้ได้วินิจฉัย (Dx) จำเป็นต้องหาข้อมูล A B C มาก่อนจึงจะพอสรุปเป็น Dx ได้



ข้อมูลแต่ละอันก็เหมือนภาพตัวต่อ (Jigsaw) แต่ละชิ้นที่ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ ยิ่งเราได้ jigsaw มากชิ้น เราก็จะเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น Jigsaw บางตัวอาจมีน้ำหนักความสำคัญมากกว่าบางตัว ทั้งนี้แล้วแต่กรณี เช่นการวินิจฉัยโรค โดยส่วนใหญ่แพทย์จะให้ความสำคัญกับการซักประวัติการป่วยของคนไข้มากที่สุด แล้วจึงเก็บข้อมูลเพิ่มเติมจากการตรวจร่างกาย การตรวจเลือด จนถึงการ X-ray เป็นลำดับถัดไป ดังรูปข้างล่าง



ความสำคัญในตอนนี้ คือ บางครั้งคนเราด่วนตัดสินอะไรก่อน แม้มีข้อมูลมาด้านเดียว หากเราเข้าใจเนื้อหาตอนนี้เราก็ต้องหยุดคิด รวบรวมข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะตัดสิน เช่น มีคนบอกว่าอาจารย์ท่านหนึ่งไม่ดี ถามว่าไม่ดีเพราะอะไร เขาตอบว่าเพราะ ด่าพระ พอเราได้ยินคำว่าด่าพระ คนไทยรับไม่ได้ เพราะพื้นฐานของคนไทยนับถือพระมาแต่ไหนแต่ไร ข้อมูลนี้สำหรับบางคน เข้มข้นพอที่จะเชื่อว่าอาจารย์ท่านนี้ไม่ดีจริงๆ แต่หากเรายังไม่ด่วนตัดสิน เราควรถามคำถามที่ 2 เช่น ทำไมเขาถึงด่าพระ หรือเขาด่าพระว่าอย่างไร คำตอบของคำถามที่ 2 อาจเป็นข้อมูลสำคัญอีกอันก็ได้ เช่น เพราะพระไปมีเมีย ผิดศีลเป็นปราชิกน่ะซี ถึงถูกท่านด่าเอา เป็นต้น

มาถึงการวินิจฉัยตลอดจนข้อสรุปในทางธรรม ก็ต้องอาศัยส่วนประกอบย่อยหลายๆ ส่วนเช่นเดียวกัน ความรู้ที่เราสามารถหาได้ในทางธรรมก็มาจาก 3 ภาคใหญ่ๆ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นั่นเอง

ปริยัติ เป็นความรู้ที่ได้มาจากการอ่านตำรับตำรา การฟังธรรม คือได้จากสัมผัสมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางใจโดยตรง นั่นเอง หากเรากลั่นกรองความรู้นี้ได้ดี ยึดหลักกาลามสูตร คือยังไม่เชื่อง่ายๆ ความรู้ทางปริยัติหลายอย่างสามารถกลับมาต่อยอดความรู้ทางปฏิบัติ และปฏิเวธได้เป็นอย่างดี เพราะส่วนหนึ่งเป็นความรู้จากครูบาอาจารย์นักปราชญ์ในอดีตที่ท่านค้นคว้าไว้ให้แล้ว อาจเป็นประสบการณ์จากการปฏิบัติของท่าน แล้วท่านถ่ายทอดไว้ให้

แต่ความรู้ทางปริยัติต้องมีการกลั่นกรองให้มาก ต้องเลือกที่มาของแหล่งความรู้ ดูประวัติศาสตร์และความทันสมัย หากเป็นความรู้ที่บอกวิธีในทางปฏิบัติ เราก็ต้องปฏิบัติต่อ ซึ่งแสดงว่าเราไม่อาจเข้าใจความรู้ต่อได้ด้วยการอ่านการฟังโดยลำพังแล้ว จะมาอ่านเอาบันเทิงต่อก็ไม่เข้าไปในใจอีกแล้ว

ปฏิบัติ เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนา มีสมถะ และวิปัสสนา นั่นเอง พูดไว้ค่อนข้างมากในบล็อกแห่งนี้ อยากเน้นย้ำอีกครั้ง และหลายๆ ครั้งว่า ความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนถึงความสำเร็จทั้งปวงในทางธรรม ต้องมาจากการปฏิบัติทั้งนั้น จะมาจากการอ่านเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ไม่ใช่ไม่อ่านตำรา ท่านต้องอ่านตำราคู่ไปกับการปฏิบัติให้เกิดผลเสมอ

ปฏิเวธ เมื่อปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง ท่านเกิดความรู้ใหม่จากภายใน ก็คือความรู้ปฏิเวธ หากไม่ใช่ระดับครูบาอาจารย์จริงๆ ความรู้ระดับนี้ต้องระวังมาก ต้องตรวจสอบมาก อย่างน้อยผมก็เขียนไว้แล้วเรื่องรู้ญาณต้องมีการตรวจสอบ

วันนี้ ไม่ได้ลงลึกในเรื่องใดเป็นพิเศษ เป็นการคุยเฉยๆ แต่อยากเน้นว่า การศึกษาธรรมะโดยเฉพาะวิชชาธรรมกาย ท่านต้องเอาไปปฏิบัติ จากเบื้องต้นคือการท่องวิชชาให้ผ่าน จนทำได้คล่อง จนเป็นวสี ความรู้และข้อสรุปจึงเกิดขึ้นได้

การอ่านแต่ปริยัติเพียงอย่างเดียวอาจช่วยให้ท่านบันเทิงเพียงชั่วคราวเท่านั้น ท่านต้องปฏิบัติด้วย แม้การปฏิบัติในช่วงเวลาที่มีปัญหาอาจทำได้ยากยิ่ง แต่ท่านก็ต้องฝืนทำเพราะมันเป็นทางรอดทางเดียวของมนุษย์เรา


จงเดินวิชชาเข้าไว้ หากท่านไม่หมั่นทำก็แปลว่า ท่านไม่รอด