มีคำทำนายวิบัติของโลกออกมาเรื่อยๆ ระยะนี้ก็มีมาตั้งแต่ปี 2011 2012 มาถึงตอนนี้
ใกล้ปลายปี 2012 แล้ว คำทำนายก็ต้องต่อไปถึงปี 2013 ผมไม่ได้ลบหลู่ว่ามันจะเกิดหรือมันจะไม่เกิดแต่อย่างใด
เพียงแต่ขอให้เราพิจารณาความเป็นไปของตัวเราและโลกใบนี้ให้ลึกซึ้ง
อย่างโลกใบนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด แผนที่โลกก็เปลี่ยนไปเรื่อยจากยุคสู่ยุค
ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลดูได้อย่างละเอียดในโลกอินเตอร์เน็ต เรามาคุยกันในเนื้อหาทางธรรมดีกว่า
ผมเคยเขียนเรื่องวิชาธรรมกายกับประวัติศาสตร์ ว่าความเป็นไปในส่วนละเอียด
ทั้งปวงมาจากการแย่งชิงอำนาจปกครองของธาตุธรรมสำคัญระหว่าง พระกับมาร
ความดีกับความชั่ว ขาวกับดำ นั่นเอง แต่ธาตุธรรมทั้งปวงมีทั้งอ่อนแก่ หยาบละเอียด
การรบในส่วนละเอียดมีผลมาถึงสมรภูมิในส่วนหยาบซึ่งก็คือสิ่งที่เราได้เห็นความ “เป็นอยู่คือ”
ในโลกมนุษย์ของเรานั่นเอง
การรบต้องอาศัยสมรภูมิ หรือที่อยู่ หรือโลก ที่เป็นสนามรบ
ผมเคยเขียนเรื่องโลก 3 มาแล้ว โลกที่เราเห็นเป็น ‘ของ’
ส่วนหยาบ ในความหมายของวิชาธรรมกายก็คือที่อาศัยของธาตุธรรมส่วนละเอียด
(ไม่ว่าจะเป็นพระหรือมาร) เพื่อเข้ามามีอำนาจปกครอง ใครได้ปกครอง โลกเหล่านี้ก็แปรไปตามอำนาจปกครองของธาตุธรรมนั้นๆ
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปจนเรียกได้ว่าไม่แน่นอน จนกว่าจะถึงจุดสมดุลย์อันหนึ่ง
โลก 3 นี้ก็คือ สัตว์โลก ขันธโลก (หรือสังขารโลก) และอากาสโลก
(หรือโอกาสโลก) นั่นเอง
สัตว์โลก
คือธาตุธรรม หรือตัวตนส่วนละเอียด หรือใจจิตวิญญาณของเรา
ที่มาเวียนว่ายตายเกิดในโลกใบนี้ ซึ่งมีอ่อนแก่หยาบละเอียดเข้าไป
การมาอยู่ในโลกก็มาอยู่กันชั่วคราว
มีหน้าที่สำคัญคือการสร้างบารมีให้ธาตุธรรมของตนยกระดับขึ้นสู่ธาตุธรรมชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
จนไม่ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดอีก เมื่อมาสู่โลกใบนี้ จำเป็นต้องมีกายมนุษย์
ซึ่งมีขั้นตอน มีพิธีการที่จะให้มีกายมนุษย์เกิดขึ้นได้ เช่นต้องมีพ่อแม่ มีการนำทรัพยากรดินน้ำไฟลมที่มาจากโลกใบนี้
(ซึ่งก็คือส่วนของอากาสโลกนั่นเอง) มาใช้
ภาคของมารที่ปกครองสัตว์โลก คือภาคปิฎก อันมี อภิชฌา
พยาบาท มิจฉาทิฐิ เป็นต้น กองทัพปิฎกพยายามยึดฐานที่ตั้ง
หรือโลกในส่วนของสัตว์โลกนั่นเอง
ขันธโลก
คือกายมนุษย์ของเราที่สัตว์โลกอันเป็นตัวเราได้อาศัยใช้สอยในชาติหนึ่งๆ
คือเรามีการเวียนเกิดเวียนตายกันหลายชาติ ชาตินี้ก็มาสร้างกายมนุษย์ซึ่งเป็นขันธโลกขึ้นมาอีกขันธ์หนึ่ง
ขันธโลกต้องถูกบำรุงเลี้ยงด้วยอาหารหรือธาตุดินน้ำไฟลมจากอากาสโลก
จะอ้วนผอมสูงต่ำดำขาว ก็เป็นเรื่องของขันธโลกทั้งสิ้น
สัตว์โลกซึ่งเป็น “ธาตุเป็นธรรมเป็น”
นำเอาดินน้ำไฟลมจากอากาสโลกซึ่งเป็น “ธาตุตายธรรมตาย” มาสร้างกายมนุษย์คือขันธโลกและกลายมาเป็นธาตุเป็นธรรมเป็นขึ้นมานั่นเอง
ภาคมารที่มาปกครองขันธโลก คือภาคทุกข์สมุทัย หรือเกิดแก่เจ็บตาย
ภาคนี้เป็นภาคของการทำลายขันธ์หรือสังขารของเราให้แตกดับไป
หากไม่แตกดับไปด้วยภัยใดใด ก็ต้องแก่เจ็บตาย ทำลายขันธ์ด้วยความเสื่อมโทรมอันนี้อยู่ดี
เพราะแต่ดั้งเดิม เรายังแก้วิชาทุกข์สมุทัยของเขาไม่ได้
พูดให้ง่ายขึ้นอีกก็คือ ร่างกายของเราคือ "ขันธโลก" ส่วนจิตใจของเราหรือใจจิตวิญญาณที่เวียนมาเกิดของเราคือ "สัตว์โลก" นั่นเอง
พูดให้ง่ายขึ้นอีกก็คือ ร่างกายของเราคือ "ขันธโลก" ส่วนจิตใจของเราหรือใจจิตวิญญาณที่เวียนมาเกิดของเราคือ "สัตว์โลก" นั่นเอง
อากาสโลก
มองง่ายๆ ก็คือแผ่นดินแผ่นน้ำแผ่นฟ้า หรือโลกทั้งปวงที่เราอยู่อาศัยนั่นเอง
มีอ่อนแก่หยาบละเอียดทั้งนั้น เท่าที่ผมสังเกต ภาคอากาสโลกนี้
มีวิชาธรรมกายเท่านั้นที่พูดถึง
อากาสโลกเป็นธาตุตายธรรมตาย ประกอบด้วยธาตุ ดินน้ำไฟลมอากาศ เป็นธาตุทั้ง
4 หรือ 5
หากประกอบเป็นขันธโลกโดยมีวิญญาณธาตุเติมเข้าไปก็จะเป็น ธาตุเป็นธรรมเป็น
(คือธาตุ 6) ขึ้นมาทันที เช่นเซลล์ในร่างกายของเรา ไล่เรื่อยขึ้นมา ส่วนวิญญาณธาตุนั้นจะเป็นอะไร
เป็นเรื่องละเอียดเกินไปสำหรับบทความตอนนี้
เมื่อภาคมารปกครองอากาสโลก
เราจะเห็นภัยพิบัติในเรื่องดินน้ำไฟลมอากาศในรูปแบบต่างๆ และในยุคนี้ก็เป็นที่มาของคำทำนายภัยพิบัติทั้งปวงแห่งปี
2012 นั่นเอง
โลกทั้ง 3 เกี่ยวข้องและอาศัยซึ่งกันและกัน
สัตว์โลกมีความโลภเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทำให้โลกร้อนขึ้น
สภาพอากาศแปรปรวน เราก็รู้ทั้งนั้น แต่ไม่อาจเลิกได้เพราะเสียประโยชน์ โลกเสียหาย
มนุษย์ที่อยู่บนโลกก็เสียหาย
เราเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่เวียนมาเกิดบนโลกใบนี้ จะทำอย่างไร?
เมื่อโลกทั้งปวงสามารถสื่อถึงกัน บารมีที่มนุษย์จำนวนมากช่วยกันสร้าง
ย่อมเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้นได้ เราควรทบทวนหน้าที่ที่แท้จริงของเราที่มาเกิดบนโลกใบนี้
ให้เข้าใจว่าเรามาอยู่ชั่วคราว เพื่อมาสร้างบารมียกระดับธาตุธรรมของเรา ให้ก้าวไปสู่ความเป็นอยู่ที่เป็นอมตะกว่า
โลกใบนี้ยังไม่ใช่ของอมตะ มันต้องเปลี่ยนแปลงไป แบบที่มันก็เคยเป็นมาในอดีต
ตัวเราก็เช่นกัน เราจะเป็นห่วงเป็นใยไปก็เท่านั้น ต่อให้ไม่มีภัยพิบัติใดใด
กายมนุษย์ของคนทั่วไปก็ยังมีแก่เจ็บตายอยู่ดี ยังไม่จิรังยั่งยืน
เราจะไปก่อนหรือโลกจะไปก่อนก็ไม่รู้
เราสร้างบารมีพอหรือยัง เราวางแผนสำหรับโลกข้างหน้าไว้ดีพอหรือยัง
เพราะเรายังต้องเดินทางต่อ ใกล้บ้างไกลบ้าง มิใช่หรือ