Pages

Wednesday, September 28, 2011

วิชชาธรรมกาย กับประวัติศาสตร์ (1)


การศึกษาวิชชาธรรมกายต้องดูประวัติศาสตร์ด้วย เราต้องรู้ว่าตำราแต่ละเล่ม ค้นคว้ามาได้ในยุคใด ที่ว่าวิชชาชั้นสูงนั้น เป็นวิชชาที่เขียนมาแต่ปีใด ครั้งนั้นค้นคว้าวิชชาไปได้ถึงไหน มันอาจเป็นวิชชาสูงในยุคนั้น แต่ปัจจุบัน เวลาได้ผ่านเลยไปหลายปีแล้ว มีวิชชารุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีกมากมาย หากเราจะเปิดตำราเก่าเดินวิชชาตามไปแต่ละหน้าแต่ละบทจะเหมาะสมหรือไม่

วันนี้ผมอยากเล่าถึงความสัมพันธ์ของยุคต่างๆ ในวิชชาธรรมกาย โดยเริ่มจากกำเนิดของธาตุธรรมก่อน แต่พูดเฉพาะธาตุธรรมหลัก คือธรรมภาคพระ กับธรรมภาคมารเท่านั้น ขอทำความเข้าใจไว้ก่อนว่าเนื้อหาตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครตัดสินถูกผิดได้ เพราะกล่าวถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว เป็นเวลานานมากๆ ถือว่าเราจินตนาการไปด้วยกัน ผมเพียงอาศัยความน่าจะเป็นจากตำรับตำรา รวมถึงความรู้ที่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น

การศึกษาประวัติศาสตร์จะดูง่ายขึ้นมาก หากเราวาดรูปในลักษณะ Timeline ดังที่แสดงให้เห็น



เริ่มต้นจากยุค A คือยุคที่ยังไม่มีธาตุธรรมใดใดบังเกิดขึ้น ในตำราเรียกว่าเป็นเหตุไม่มีธาตุไม่มีธรรม นั่นเอง ขอให้ผู้อ่านทบทวนเรื่องนี้ในหนังสือมรรคผลพิสดาร 1 บทบัญญัติที่ 42 เพื่อความเข้าใจอีกครั้งนะครับ

เมื่อเวลานานไปจนนับประมาณมิได้ ความไม่มีธาตุไม่มีธรรมนั้นก็ก่อให้เกิดเหตุมีธาตุมีธรรมขึ้น (B) คือเริ่มมีธาตุ 6 และธรรม 6 นั่นเอง ในตำราบอกว่ายังมีเหตุ 2 เหตุนี้เกิดขึ้นสลับกันไปไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย แต่ผมเอาไว้อธิบายแค่ตรงนี้ก่อน

ก่อนจะไปต่อ ผมขอแทรกนิดหนึ่ง แต่เดิมผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราจะเอาเหตุไม่มีธาตุไม่มีธรรมมาทำกายมนุษย์พิเศษตามตำราได้อย่างไร ก็มันไม่มีอะไรนี่นา แต่เมื่อเรามาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันแบบง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อนนัก เราจึงเข้าใจ เช่น เวลาเราจะไปเที่ยว เราทำวิชชาล่วงหน้าเพื่อให้การไปเที่ยวของเราไม่มีปัญหาและอุปสรรคใดใด เราคำนวณรวมเหตุทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการไปเที่ยวมาทำวิชชาจนขาวใส เราไปเที่ยวได้อย่างสนุกสนาน แต่พอกลับมาปรากฏว่าบ้านที่ทิ้งไว้น้ำท่วม ที่ทำงานมีปัญหา เพราะเราลืมคำนวณเหตุไม่มีธาตุไม่มีธรรมของการไปเที่ยวมาแก้ไขด้วยนั่นเอง คงพอเข้าใจนะครับ

ไปต่อ นานเท่าใดไม่อาจคำนวณได้ ก็เกิดธรรมภาคมารหรือภาคดำขึ้น ธาตุธรรมผู้ใหญ่ท่านให้ความรู้ว่าธรรมภาคมารเกิดก่อนธรรมภาคพระ ผมใช้สัญญลักษณ์ตัว M บน timeline เขาเกิดก่อน เขาก็ยึดพื้นที่ และรวบรวมธาตุธรรมชั้นดีต่างๆ ที่มีมาก่อนแล้ว มาเป็นของเขาได้อย่างถนัด นั่นคือเลือกหัวกะทิไปก่อน เขาก็คงสร้างบ้านสร้างเรือนดูแลปกครองธาตุธรรมของเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งธาตุธรรมภาคพระหรือภาคขาว (W) บังเกิดขึ้น โดยมีธรรมชาติที่ต่างกันกับภาคมารในเชิงของสีสรรวรรณะ ความคิดเห็นทั้งปวงโดยสิ้นเชิง แต่สมบัติคุณสมบัติมีแบบเดียวกับธรรมภาคมารที่เกิดมาก่อนแล้ว

M รู้ว่า W มีอุปนิสัย ไม่รุกราน มีธรรมชาติที่เย็น อยู่ด้วยแล้วร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งเขาก็ใช้สอยได้ ระยะแรกเขาปล่อยให้ W เติบโตไปเรื่อยๆ  W ก็ปกครองธาตุธรรมของตนด้วยปิฎกทานศีลภาวนา เป็นต้น บารมีเต็มส่วนก็เข้านิพพานเป็น คือกายสุดหยาบสุดละเอียดทั้งปวงเข้านิพพานได้หมด รวมถึงกายมนุษย์หยาบด้วย (C)

ให้สังเกตุว่าระยะนี้ เรามีทานศีลภาวนาแก่ผู้มีใจเป็นพระด้วยกัน สัตว์โลกทั้งปวงก็น่าจะมีใจพร้อมจะเป็นทานศีลภาวนาแบบเดียวกับเราโดยธรรมชาติ

การเกิดธาตุธรรมขึ้นในยุคเหล่านี้ มีความยาวนานมาก ภาษาวิชชาธรรมกายมีคำพูดว่า นับอายุธาตุ อายุบารมีไม่ถ้วน คือเอากันตั้งแต่เริ่มมีธาตุมีธรรม เอากันตั้งแต่แรกเริ่มสร้างบารมีของธาตุธรรม (ไม่ว่าภาคใด) กันเลยทีเดียว

เมื่อธรรมภาคพระหรือภาคขาว บำเพ็ญบารมีเข้านิพพานเป็นไปสักระยะหนึ่ง ภาคมารคงเห็นว่าภาคขาวเริ่มเติบใหญ่ และกายมนุษย์ที่เข้านิพพานเป็นมีฤทธิ์เดชยิ่งนัก จึงเข้าแทรกแซง ตรงนี้เอง ความปภัสสรทั้งปวงจึงมีการปนเป็น เขาซ้อนนิพพานของเขาเข้ากับนิพพานของภาคขาว ซ้อนภพ และสร้างนรกโลกันตร์ขึ้นเพื่อเก็บกักเชลย เราไม่เห็นเขาเพราะเขาละเอียดกว่า เขาปกครองธรรมภาคขาวด้วยวิชชาสำคัญคือปิฎก กับทุกข์สมุทัย เปลี่ยนระบบมรรคผลเป็นการเข้านิพพานกายธรรม (D) คือสอนให้ภาคขาวถอดกายเข้านิพพานนั่นเอง คือกายมนุษย์ต้องตาย เข้านิพพานได้เฉพาะกายที่เหลือ บุญบารมีทั้งหลายที่ทำได้ ส่วนละเอียดๆ เขาช่วงชิงไป ส่วนหยาบอันได้แก่ทรัพย์สินเงินทองที่พอจับต้องได้เขาทิ้งไว้ให้ ซึ่งเราเข้าใจว่านี่เป็นผลของบุญที่เราทำ

คำสอนทั้งปวงในยุคนิพพานกายธรรม ต้องสอนอยู่ในกรอบของเขา เพราะเราเปรียบเสมือนประเทศราช สอนให้ไม่ยี่หระต่อกายมนุษย์ สอนว่ากายมนุษย์เป็นรังแห่งโรคภัย เป็นรังแห่งกิเลส สิ่งที่รับมาโดยอายตนะมนุษย์ต้องให้สักแต่ว่ารับรู้ ห้ามยึดมั่นถือมั่น เพราะมันเป็นไตรลักษณ์ ต้องเพ่งเผาทำลายสิ่งอันเนื่องด้วยกายมนุษย์เพื่อไปสู่กายธรรมที่ผ่องใสกว่า ทานศีลภาวนาที่ทำอยู่น่ะ ดีอยู่แล้ว เผื่อแผ่ทานมาถึงเขาด้วย แผ่เมตตามาให้เขาด้วย พรหมะ มารา จะ อินทา จะ โลกะปาลา จะ เทวะตา แต่ถมไม่เต็มหรอกนะ รักษาศีลก็ห้ามตบยุงนะ แต่ยุงมาแพร่โรคให้คนตายได้ ไม่เป็นไร

ภาคขาวพยายามแก้ไขมาโดยตลอด โดยส่งผู้ปราบมาเป็นช่วงๆ (E) ตราบถึงทุกวันนี้ การแก้ไขเพิ่งทำมาได้ในระดับสำคัญ แต่ยังไม่เห็นผลในภาคของภพ 3 เราจะต้องดูกันต่อไป