Pages

Monday, November 9, 2015

เราคือใคร ?

เราคือใคร?
ถ้าเราตอบคำถามนี้ได้ ความรู้ของเราจะแตกตัว
ผมจะให้ข้อมูลตามความรู้ของผม ดังนี้
เมื่อเราเกิดมาในโลกมนุษย์ เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า เราเป็นใคร เรามาจากไหน ทำไมคนเราไม่เหมือนกัน เราจะต้องทำอะไร ที่สำคัญคือ สุดท้ายเราต้องจากไป และเดินทางต่อ ทำไมชีวิตเราจึงต้องดับสูญเมื่อถึงกาลเวลาอันหนึ่ง ความรู้ของเราไม่สามารถทำให้ชีวิตเราที่บางท่านดีอยู่แล้ว ให้อยู่ต่อไปได้อย่างถาวรเลยหรือ
มีความรู้ที่ซ่อนอยู่ ดังนี้



ความเป็นตัวตนของเรา ประกอบด้วยโลก 3 คือ สัตว์โลก ขันธโลก อากาศโลก


ตัวตนใหญ่ๆ ของเราคือ สัตว์โลก หรือใจจิตวิญญาณของเรา นั่นเอง เป็นส่วนละเอียดที่มองไม่เห็นด้วยตามนุษย์ แต่รู้สึกถึงได้ เพราะใจ(จิตวิญญาณ)มีหน้าที่อยู่ 4 อย่าง คือ เห็นจำคิดรู้ บางครั้งจึงเรียก สัตว์โลกว่า เห็นจำคิดรู้ หรือวิญญาณ หรือถ้าสูงหน่อยก็เรียก ธาตุธรรม ของเรา นั่นเอง สัตว์โลกมีความเป็นตัวตนของเรามากที่สุด แต่เป็นส่วนที่เข้าใจและรู้เห็นยากที่สุด
เมื่อถึงคราวที่สัตว์โลกเวียนมาเกิดในโลกมนุษย์ ต้องมีกายหยาบ คือกายมนุษย์(หยาบ)แบบเรานี่แหละรองรับ


กายที่รองรับสัตว์โลก (หรือเห็นจำคิดรู้) ก็คือ ขันธโลก นั่นเอง การเกิดขึ้นของขันธโลก มีพิธีรีตอง หากเป็นมนุษย์ต้องอาศัยพ่อแม่ เมื่อประกอบธาตุธรรมกัน จึงเกิดเป็นกายมนุษย์ของบุตรขึ้น กายมนุษย์เป็นส่วนหยาบ ที่ถูกสร้างขึ้นจากธาตุดินน้ำไฟลมอากาศวิญญาณ (ธาตุ 6) ซึ่งเป็นทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมของโลกมนุษย์นั่นเอง เอามาเป็นร่างกายของเรา ซึ่งก็คือเครื่องมือใช้สอยของสัตว์โลกที่เวียนมาเกิดในชาตินี้
รายละเอียดต่างๆ มีบรรยายไว้หมด แม้การประกอบธาตุธรรมของบิดามารดา การประสมกำเนิดเดิมของทั้ง บิดามารดาและบุตร มีความรู้อยู่แล้ว จะไม่ขยายความในที่นี้
เมื่อสัตว์โลกเข้าสรวมในขันธโลก ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องพันธนาการอย่างหนึ่ง เห็นจำคิดรู้ถูกจำกัดอยู่กับเครื่องมือใช้สอยอันนี้ หากได้ขันธโลกที่เป็นสัตว์เดียรัจฉาน การพันธนาการก็ยิ่งอุกฤต ท่านจะต้องใช้กายหยาบนี้ ทำหน้าที่ต่อไปก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่โลกใบนี้เอากลับคืนไป
ความเป็นไตรลักษณ์ทั้งปวง อยู่ในขันธโลกนี้แหละ ที่สำคัญคือ ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ถูกปิดกั้น เราเห็นแต่เรื่องราวภายในโลกมนุษย์ คิดถึงอนาคต ก็ไม่พ้นอนาคตแค่กายมนุษย์ ซึ่งหยุดอยู่แค่ความตาย หากจะคิดเผื่อ ก็ไปในเรื่องของลูกหลาน เรื่องของตัวเองไปต่อไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้เรื่องโลกทั้ง 3 นี้ บางท่านคิดว่ามีแค่กายมนุษย์เท่านั้น ตายไปคือจบ คือสูญ จึงไม่ได้คิดทำอะไรเผือความเป็นอยู่ในภพข้างหน้า เพราะหลังจากกายมนุษย์ตาย สัตว์โลก หรือใจจิดวิญญาณ ต้องแสวงหาที่อยู่ใหม่ ไม่สามารถเอาสมบัติของกายมนุษย์ติดตัวไปได้เลย แม้แต่ชิ้นเดียว
สิ่งที่จะเอาติดตัวไปได้ คือสิ่งที่สามารถติดเข้าไปในเห็นจำคิดรู้ หรือใจจิตวิญญาณ หรือกมลสันดาน ของเราเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนละเอียด ง่ายๆ ก็คือความดี ความชั่ว นั่นเอง อายตนะของกายมนุษย์สัมผัสไม่ได้ แต่พอรู้สึกได้ เราจะทำอย่างไร มีตำราให้ศึกษาอีกมากมาย ซึ่งไม่ยากเกินที่จะเรียนรู้

โลกที่ 3 ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตัวตนของเรา คือ อากาศโลก บางตำราเรียก โอกาสโลก เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง มันคือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ธาตุดินน้ำไฟลมอากาศ หรือแม้วิญญาณ ที่อยู่รอบตัวเรา ที่สัมผัสกับตัวเรา โลกใบนี้ถ้ามองดีๆ มีความลึกซึ้ง มีการเปลี่ยนแปรไปทุกวินาที เมื่อสัมผัสมาที่เรา เราบันทึกเป็นความทรงจำไว้ในเห็นจำคิดรู้ของเรา เป็นโลกส่วนตัวของเรา โลกใบนี้มีความแปรเปลี่ยนได้ง่ายมาก จังหวะเวลาโอกาสทั้งปวง ก็เป็นโลกใบนี้ เช่นวันนี้เราขับรถออกจากบ้าน เจอรถมาเฉี่ยวชนรถเรา แล้วก็มีเรื่องราวต่อเนื่องจากวันนี้เป็นต้นมา ถ้าคิดย้อนเวลากลับไปได้ หากเราออกจากบ้านช้าไปอีก 1 นาที รถคันนั้นผ่านเวลานั้นไปแล้ว ไม่มาเฉี่ยวชนกับเรา เหตุการณ์ก็เปลี่ยนใหม่ ถูกบันทึกใหม่ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้แหละ เป็นเรื่องของความละเอียด อะไรจะเกิดกับเรา มันถูกควบคุมโดยสิ่งอะไร ที่เรามองไม่เห็น อันนี้เป็นเรื่องของอากาศโลกในอีกระดับหนึ่ง
เหตุการณ์ทั้งปวงที่เราพบปะเจอะเจอมาตลอดชีวิต ส่งผ่านกายมนุษย์หยาบ หล่อหลอมตัวตนของเรา และฝังเข้าไปในใจจิตวิญญาณ ซึ่งนำติดตัวเราไป เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น

แต่เหตุการณ์อย่างเดียวกัน เกิดกับคนแต่ละคน ทำไมตอบสนองไม่เหมือนกัน ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ มีคำอธิบายอีกมากมายซึ่งเป็นความรู้ทางพุทธศาสนา แต่เริ่มลึกซึ้งในระดับวิปัสสนา คือเราต้องรู้ส่วนละเอียดของใจจิตวิญญาณของเราเพิ่มเติม ว่ามีการสั่งสมกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เราต้องรู้กายวิภาค (น่าจะเรียกจิตวิภาค แต่อุปมาอุปมัย) ของใจว่าส่วนประกอบที่ละเอียดๆ มันลึกไปถึง ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อริยสัจจ์ อินทรีย์ที่อ่อนแก่หยาบละเอียดต่างกัน ของแต่ละสรรพสัตว์ ทำให้การตีความเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน

แล้วความรู้เหล่านี้มาจากไหน
สัตว์โลกทั่วไปไม่สามารถมีความรู้เหล่านี้ขึ้นมาเองได้ ต้องอาศัยสัตว์โลกระดับสัพพัญญูเท่านั้น ที่จะเอาความรู้นี้มาสอนสัตว์โลกอื่นได้ ท่านจึงไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อท่านมาโปรดสัตว์ สัตว์โลกในระดับสัพพัญญูของท่าน มาเกิดเป็นมนุษย์เช่น เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ (ขันธโลก) แล้วอาศัยขันธโลกนั้นเพื่อโปรดสัตว์โลก ให้รู้ ให้ตื่น ให้เบิกบาน ตามท่านไปนั่นเอง


เมื่อมีความรู้มาถึงตรงนี้ เราจะทำอะไรได้บ้าง


หากเรามองอนาคตของเราได้แค่ขันธโลก เราก็จะแสวงหา เพลิดเพลิน อยู่กับสมบัติคุณสมบัติของกายมนุษย์

หากเรามองอนาคตไปไกลในระดับสัตว์โลก เราจะต้องเรียนรู้วิธีการยกระดับใจจิตวิญญาณของเรา เพิ่มระดับความรู้สึกนึกคิดของเรา เพื่อนำติดตัวไปข้างหน้า จึงเป็นความรู้เรื่องการสร้างบุญบารมี สืบต่อไป

หากเรามองอนาคตไกลขึ้นไปอีก ถึงระดับธาตุระดับธรรม ทำอย่างไรธาตุธรรมที่อุดหนุนเกื้อกูลเรา จะอยู่รอด ต้องศึกษากันอีกยาว แต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

มีบทความที่คล้ายกันเขียนอยู่ก่อนหน้านี้ ถือเป็นการอธิบายในอีกลักษณะหนึ่ง เช่น ความเข้าใจเรื่องโลก 3 กับคำทำนาย 2012 ลองดูนะครับ

Sunday, April 12, 2015

Transformation (การแปรเปลี่ยน)

เราโตมาจากความเป็นเด็ก เมื่อย้อนระลึกไปถึงเด็กคนที่เราเคยเป็น เด็กคนนั้นหายไปไหน เขาไม่อยู่แล้ว เด็กคนที่นิสัยใจคอไม่เหมือนกับตัวเราในตอนนี้ หากเอาเขามานั่งคุยกับเราได้ คงเหมือนเป็นคนละคนกันกับเรา แต่เขาก็คือตัวเรา ดังนั้น ความเป็นธาตุเป็นธรรมของตัวเรา มันไม่ได้เป็นแค่กายมนุษย์กายที่เราเห็นหรือเป็นอยู่คืออย่างเดียว มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก มันเป็นโลก 3 ที่ผมเคยอธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
การที่เด็กคนนั้นหายไป เขาไม่ได้ตาย เพราะหากเขาตายตัวเราตอนนี้ก็เกิดมีขึ้นไม่ได้ นี่เรากำลังนึกถึงกายมนุษย์ในแกนนอนของกำเนิดเดิม อันมีกำเนิดต้นกลางปลายนั่นเอง ชีวิตไม่อยู่นิ่ง มันแปรไปเรื่อยๆ กายเราก็แปรไปตามกำเนิดที่แปรไปตามกาลเวลา ความละเอียดเหล่านี้มันซ้อนกันอยู่ หากไม่ใช่วิชาธรรมกาย จะเอาอะไรมาอธิบาย
ตัวอย่างแกนนอนของกำเนิดวัยเด็กวัยผู้ใหญ่จนถึงวัยแก่ เกิดการแปรเปลี่ยน(Transform) ของร่างกายเราที่เติบโตขึ้นในทางส่วนหยาบ หากเรานึกถึงกายเราในแกนตั้ง ซึ่งก็คือแกนกาย 18 กาย การแปรเปลี่ยนจะต่างไป แต่ก็คล้ายๆ กัน เพราะแกน 18 กาย เป็นแกนกายที่มีการยกระดับธาตุธรรมในส่วนละเอียด(สัตว์โลก) ที่มองเห็นไม่ชัดเจนเหมือนกายมนุษย์หยาบ คือจากกายมนุษย์หยาบ ไปเป็นกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) โดยสมบูรณ์ เห็นจำคิดรู้ในระดับสัตว์โลกต้องมีมนุษยธรรมเต็ม จากกายมนุษย์ละเอียดเปลี่ยนไปเป็นกายทิพย์หยาบ ต้องมีเทวธรรม จากนี้ก็ยกระดับไปเรื่อยๆ จนถึงกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียด การสร้างบารมีในยุคทานศีลภาวนา ก็ต้องการสร้างบารมีให้ได้ตามเกณฑ์ทั้งหลายนี้ โดยอาศัยกายมนุษย์หยาบลงมาเกิดในโลกเพื่อทำหน้าที่สร้างบารมีตามหลักสูตรของธรรมภาคพระ
แต่กายมนุษย์แต่ละยุคก็มีอายุจำกัด คือมีอายุขัย (จริงๆ แล้ว อายุขัย มีทุกกาย แม้ในนิพพาน)
ยุคทานศีลภาวนา เมื่อกายมนุษย์หมดอายุแต่ยังสร้างบารมีไม่เสร็จ ยังเข้านิพพาน(เป็น)ไม่ได้ ต้องไปพักในสวรรค์ก่อน(ทิพย์พรหมอรูปพรหม) ตอนนี้ลุงบอกแล้วว่า กายมนุษย์ไม่เรียกว่าตาย แต่เรียกว่าอะไร ไม่ได้บอกชัดเจน มันก็น่าจะเหมือนกายมนุษย์เด็กของเราที่หายไป เมือเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั่นเอง คือไม่ได้ตาย แต่เปลี่ยนเอากายผู้ใหญ่ออกหน้า พูดถึงแกน 18 กาย ก็อาจเอากายทิพย์ออกหน้า นั่นเอง
ถามว่าหายไปไหน ตอบแบบวิชาธรรมกาย ก็คือเขาก็ไปอยู่ในศูนย์กลางกายเราซึ่งตรงกันหมดทุกกาย นั่นเอง
กายมนุษย์หยาบของเรามาหัดตายเอาในยุคทุกข์สมุทัย ที่มารเข้ามาปกครองธรรมภาคขาว กลายเป็นธรรมดาของสังขารมานานแสนนาน
กลับมาเรื่อง Transformation มันจะเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า ก็ดูมีเหตุผลดี เป็นเรื่องประดับความรู้ แต่เราจะเอาความรู้นี้มาใช้ประโยชน์ในปัจจุบันได้อย่างไร ก่อนจะเลยไป ผมขอเพิ่มเติมว่า แกนกำเนิดเดิมก็ยังมีแกนตั้งคือ กำเนิดชาติอดีต กำเนิดชาติปัจจุบัน และกำเนิดชาติอนาคต ได้อีก แต่ละชาติก็มีกำเนิดวัยเด็กวัยผู้ใหญ่วัยแก่ของแต่ละชาตินั้นๆ เอามาพูดเพื่อให้รู้ว่าความจริงแล้ว "ตัวเรา" คือ ผลรวมของทั้งหมดนั่นเอง ไม่ธรรมดาเลย
บัดนี้ เราเป็นธรรมกายแล้ว เราเดินวิชา 18 กายทุกวัน เราออกไปสร้างบารมีอยู่เป็นระยะๆ กายอดีตของเราเป็นธรรมกายหรือเปล่า กายเด็กของเราเคยเดินวิชา 18 กายหรือเปล่า ส่วนใหญ่เปล่า เพราะเราเพิ่งได้เรียนวิชาธรรมกาย มาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง
ลุงถามคำถามผมว่า "ทำอย่างไร เราจึงจะเอากำเนิดของเรามาเดินวิชาได้ครบ ?" ให้ไปค้นคว้า สืบถามเอาจากพระพุทธองค์ ผมได้คำตอบแล้ว เพราะสุดท้ายผมก็โดนให้กลับมาถามศึกษาฯ อีกครั้ง
วิธีการที่ง่ายที่สุด คือการอธิษฐานเมื่อเราเริ่มเดินวิชา ให้เอากายมนุษย์ของเราทุกกาลเวลาทั้งอดีตปัจจุบันอนาคต มาเดินวิชา 18 กายกับเราด้วยเถิด คำว่าอดีตปัจจุบันอนาคต หมายรวมถึงกายเด็กของเรา กายเราปัจจุบัน กายเราในเวลาถัดๆ ไป ตลอดจนกายเราในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ อนาคตหากจะพึงมีต่อไป รวมทั้งหมด กระดิกใจเอามาเดินวิชา 18 กายแบบที่เราเดินอยู่เป็นปกติ ได้แค่ไหน เราก็ทำแล้ว
x

Tuesday, March 31, 2015

อาหารใจ

ผมคงเขียนเนื้อหาเรื่องอาหารใจไม่เหมือนในบันทึกปราบมารของคุณลุง ซึ่งบันทึกไว้เมื่อปี 2533 ที่กล่าวถึงอาหารใจฝ่ายดี คือการได้ยินได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นมงคล และการบำรุงร่างกายด้วยอาหารก็เป็นการบำรุงใจด้วย เพราะกายกับใจเกี่ยวเนื่องกัน สุดท้ายพูดถึงอาหารใจระดับสูง คือการเดินฌาน 8 นี่คือสรุปที่คุณลุงได้บันทึกไว้

ส่วนผม มาเข้าใจเรื่องอาหารใจในอีกมุมมองหนึ่ง จากการที่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองเพื่อทำคลินิก ช่วงนี้เจอะเจอสิ่งที่ไม่เจริญหูเจริญตา ครบทุกอายตนะ ดังนี้

ตา เจอแสงแดดจัดในหน้าร้อน จนต้องหาแว่นกันแดด หาฉากมาบังสู้แสงแดดเวลามองออกไปนอกร้าน
หู มีเสียงดังอึกทึกแทบทุกชนิดที่จะสรรหามาได้ ทั้งเสียงเพลง เสียงรถมอเตอร์ไซด์ แม้เสียงจี๊ดๆ เวลาเขาเบรครถ เสียงเคาะเหล็ก จิปาถะ
จมูก มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยมาให้รำคาญ แสบจมูก แสบหน้าอก ไอ มาจากร้านปิ้งขนมข้างๆ ร้านอาหารตามสั่ง สเปร์ฉีดฆ่ายุงซึ่งมันจะฆ่าเราด้วย
ลิ้น สั่งอาหารมาก็ไม่ถูกปากเผ็ดร้อน หวานเจี๊ยบ เค็มปี๋ อาหารหมักฟอร์มาลีน ทั้งปวง
กาย อุณหภูมิหน้าร้อนของเมืองไทยเป็นอย่างไร คนไทยทุกคนรู้ดี
ใจ พบปะเจอะเจอสิ่งที่ทำให้หงุดหงิดรำคาญใจ โดยเฉพาะความชุลมุนวุ่นวายในเมืองเล็กๆ อย่างแม่กลอง ความไร้ระเบียบของการจราจร โดยที่เราเป็นคนที่ต้องขับรถอยู่เป็นประจำ ส่วนใหญ่เจอรถขับช้า เงอะงะ ไม่มีทักษะในการขับขี่ น่าหงุดหงิดมากเวลาขับตามหลังพวกท่านเหล่านั้น

ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่า เราสื่อสารกับโลกภายนอกผ่านอายตนะทั้ง 6 ของเรา แล้วมีความละเอียดในการส่งผ่านสื่อเหล่านี้ไปในระดับธาตุ 18 (ธาตุรับ 6 ธาตุกระทบ 6 ธาตุรับรู้ 6) จึงได้รู้ว่าก่อนทำสมาธิ ท่านให้อาราธนาพระพุทธเจ้า และจักรพรรดิภาคขาว ให้มาบังเกิดในทวารทั้ง 6 นี้ เพื่อให้ท่านคุมประตูแห่งอายตนะทั้งปวงไว้ก่อน ที่สื่อเหล่านี้จะเข้าไปสู่ประตูใจภายในนั่นเอง

สื่อเดียวกัน แต่ละคนตีความชอบไม่ชอบไม่เหมือนกันเพราะเรามีอินทรีย์ 22 ที่ อ่อนแก่หยาบละเอียด ต่างกัน เมื่อสื่อส่งข้อมูลเข้าไปถึงใจชั้นในคือ มโนวิญญาณธาตุ เกิดการตีความ ตรงนี้ใจได้เสพอาหารแล้ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม (อ่านความรู้เรื่อง ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ ในหนังสือมรรคผลพิสดาร ของหลวงพ่อวัดปากน้ำประกอบด้วย)

ผมมานั่งนึกว่า หากเราไม่เปิดร้าน เราคงไม่ต้องมาเจอกับ "สิ่ง" ที่ทำให้ใจวุ่นวายแบบนี้ นึกต่อ เราก็คงนอนอยู่กับบ้าน ไม่ต้องเสพสื่อใดใด พอนึกไปๆ เราก็คงเบื่อ คงเหงา อ้าว นั่นแปลว่า ใจไม่ได้รับอาหารก็อยู่ไม่ได้อีกเช่นกัน มันจะเหี่ยว มันจะเฉา

แม้การพัฒนาใจในช่วงแรกๆ อาจต้องตัดสิ่งรบกวนใจที่จะผ่านอายตนะทั้งปวงออกไปก่อน เช่นการปลีกวิเวกแบบพระป่า หรือหลีกเร้นไปทำความเพียรจนใจเรามีกำลังเสียก่อน จากนั้นเมื่อกลับมาเจอะเจอสิ่งแวดล้อมเดิม เราคงมีใจที่แข็งแรงขึ้น ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคทั้งปวงได้ดีขึ้น แต่หากบางท่านปลีกวิเวกแบบไม่ยอมกลับ คือให้ใจอดอาหารไปเรื่อยๆ จนผอม ชินกับสภาพแบบสันโดษทางอายตนะ อาจไม่ได้แปลว่าใจเราแข็งแรงขึ้นก็ได้ นั่นเป็นการเก็บกดกีดกันอายตนะภายนอกที่จะทำให้เกิดอารมณ์ไว้ เราดูเหมือนไม่หวั่นไหวต่อสิ่งกระตุ้นที่จำกัด เท่านั้นเอง เราต้องบำเพ็ญเพียรทางใจด้วย จึงจะสมบูรณ์

เราจะแก้ไขอย่างไร ให้เราได้พบปะเจอะเจอแต่อาหารใจที่ดีๆ ที่ประณีต ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะเราคงต้องอยู่ในเมืองสวรรค์เมืองนิพพาน ไม่ใช่เมืองมนุษย์อย่างที่เราอยู่ตอนนี้เป็นแน่แท้