ถ้าเราตอบคำถามนี้ได้ ความรู้ของเราจะแตกตัว
ผมจะให้ข้อมูลตามความรู้ของผม ดังนี้
เมื่อเราเกิดมาในโลกมนุษย์ เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า เราเป็นใคร เรามาจากไหน ทำไมคนเราไม่เหมือนกัน เราจะต้องทำอะไร ที่สำคัญคือ สุดท้ายเราต้องจากไป และเดินทางต่อ ทำไมชีวิตเราจึงต้องดับสูญเมื่อถึงกาลเวลาอันหนึ่ง ความรู้ของเราไม่สามารถทำให้ชีวิตเราที่บางท่านดีอยู่แล้ว ให้อยู่ต่อไปได้อย่างถาวรเลยหรือ
มีความรู้ที่ซ่อนอยู่ ดังนี้
ความเป็นตัวตนของเรา ประกอบด้วยโลก 3 คือ สัตว์โลก ขันธโลก อากาศโลก
ตัวตนใหญ่ๆ ของเราคือ สัตว์โลก หรือใจจิตวิญญาณของเรา นั่นเอง เป็นส่วนละเอียดที่มองไม่เห็นด้วยตามนุษย์ แต่รู้สึกถึงได้ เพราะใจ(จิตวิญญาณ)มีหน้าที่อยู่ 4 อย่าง คือ เห็นจำคิดรู้ บางครั้งจึงเรียก สัตว์โลกว่า เห็นจำคิดรู้ หรือวิญญาณ หรือถ้าสูงหน่อยก็เรียก ธาตุธรรม ของเรา นั่นเอง สัตว์โลกมีความเป็นตัวตนของเรามากที่สุด แต่เป็นส่วนที่เข้าใจและรู้เห็นยากที่สุด
เมื่อถึงคราวที่สัตว์โลกเวียนมาเกิดในโลกมนุษย์ ต้องมีกายหยาบ คือกายมนุษย์(หยาบ)แบบเรานี่แหละรองรับ
กายที่รองรับสัตว์โลก (หรือเห็นจำคิดรู้) ก็คือ ขันธโลก นั่นเอง การเกิดขึ้นของขันธโลก มีพิธีรีตอง หากเป็นมนุษย์ต้องอาศัยพ่อแม่ เมื่อประกอบธาตุธรรมกัน จึงเกิดเป็นกายมนุษย์ของบุตรขึ้น กายมนุษย์เป็นส่วนหยาบ ที่ถูกสร้างขึ้นจากธาตุดินน้ำไฟลมอากาศวิญญาณ (ธาตุ 6) ซึ่งเป็นทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมของโลกมนุษย์นั่นเอง เอามาเป็นร่างกายของเรา ซึ่งก็คือเครื่องมือใช้สอยของสัตว์โลกที่เวียนมาเกิดในชาตินี้
รายละเอียดต่างๆ มีบรรยายไว้หมด แม้การประกอบธาตุธรรมของบิดามารดา การประสมกำเนิดเดิมของทั้ง บิดามารดาและบุตร มีความรู้อยู่แล้ว จะไม่ขยายความในที่นี้
เมื่อสัตว์โลกเข้าสรวมในขันธโลก ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องพันธนาการอย่างหนึ่ง เห็นจำคิดรู้ถูกจำกัดอยู่กับเครื่องมือใช้สอยอันนี้ หากได้ขันธโลกที่เป็นสัตว์เดียรัจฉาน การพันธนาการก็ยิ่งอุกฤต ท่านจะต้องใช้กายหยาบนี้ ทำหน้าที่ต่อไปก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่โลกใบนี้เอากลับคืนไป
ความเป็นไตรลักษณ์ทั้งปวง อยู่ในขันธโลกนี้แหละ ที่สำคัญคือ ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ถูกปิดกั้น เราเห็นแต่เรื่องราวภายในโลกมนุษย์ คิดถึงอนาคต ก็ไม่พ้นอนาคตแค่กายมนุษย์ ซึ่งหยุดอยู่แค่ความตาย หากจะคิดเผื่อ ก็ไปในเรื่องของลูกหลาน เรื่องของตัวเองไปต่อไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้เรื่องโลกทั้ง 3 นี้ บางท่านคิดว่ามีแค่กายมนุษย์เท่านั้น ตายไปคือจบ คือสูญ จึงไม่ได้คิดทำอะไรเผือความเป็นอยู่ในภพข้างหน้า เพราะหลังจากกายมนุษย์ตาย สัตว์โลก หรือใจจิดวิญญาณ ต้องแสวงหาที่อยู่ใหม่ ไม่สามารถเอาสมบัติของกายมนุษย์ติดตัวไปได้เลย แม้แต่ชิ้นเดียว
สิ่งที่จะเอาติดตัวไปได้ คือสิ่งที่สามารถติดเข้าไปในเห็นจำคิดรู้ หรือใจจิตวิญญาณ หรือกมลสันดาน ของเราเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนละเอียด ง่ายๆ ก็คือความดี ความชั่ว นั่นเอง อายตนะของกายมนุษย์สัมผัสไม่ได้ แต่พอรู้สึกได้ เราจะทำอย่างไร มีตำราให้ศึกษาอีกมากมาย ซึ่งไม่ยากเกินที่จะเรียนรู้
โลกที่ 3 ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตัวตนของเรา คือ อากาศโลก บางตำราเรียก โอกาสโลก เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง มันคือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ธาตุดินน้ำไฟลมอากาศ หรือแม้วิญญาณ ที่อยู่รอบตัวเรา ที่สัมผัสกับตัวเรา โลกใบนี้ถ้ามองดีๆ มีความลึกซึ้ง มีการเปลี่ยนแปรไปทุกวินาที เมื่อสัมผัสมาที่เรา เราบันทึกเป็นความทรงจำไว้ในเห็นจำคิดรู้ของเรา เป็นโลกส่วนตัวของเรา โลกใบนี้มีความแปรเปลี่ยนได้ง่ายมาก จังหวะเวลาโอกาสทั้งปวง ก็เป็นโลกใบนี้ เช่นวันนี้เราขับรถออกจากบ้าน เจอรถมาเฉี่ยวชนรถเรา แล้วก็มีเรื่องราวต่อเนื่องจากวันนี้เป็นต้นมา ถ้าคิดย้อนเวลากลับไปได้ หากเราออกจากบ้านช้าไปอีก 1 นาที รถคันนั้นผ่านเวลานั้นไปแล้ว ไม่มาเฉี่ยวชนกับเรา เหตุการณ์ก็เปลี่ยนใหม่ ถูกบันทึกใหม่ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้แหละ เป็นเรื่องของความละเอียด อะไรจะเกิดกับเรา มันถูกควบคุมโดยสิ่งอะไร ที่เรามองไม่เห็น อันนี้เป็นเรื่องของอากาศโลกในอีกระดับหนึ่ง
เหตุการณ์ทั้งปวงที่เราพบปะเจอะเจอมาตลอดชีวิต ส่งผ่านกายมนุษย์หยาบ หล่อหลอมตัวตนของเรา และฝังเข้าไปในใจจิตวิญญาณ ซึ่งนำติดตัวเราไป เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น
แต่เหตุการณ์อย่างเดียวกัน เกิดกับคนแต่ละคน ทำไมตอบสนองไม่เหมือนกัน ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ มีคำอธิบายอีกมากมายซึ่งเป็นความรู้ทางพุทธศาสนา แต่เริ่มลึกซึ้งในระดับวิปัสสนา คือเราต้องรู้ส่วนละเอียดของใจจิตวิญญาณของเราเพิ่มเติม ว่ามีการสั่งสมกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เราต้องรู้กายวิภาค (น่าจะเรียกจิตวิภาค แต่อุปมาอุปมัย) ของใจว่าส่วนประกอบที่ละเอียดๆ มันลึกไปถึง ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อริยสัจจ์ อินทรีย์ที่อ่อนแก่หยาบละเอียดต่างกัน ของแต่ละสรรพสัตว์ ทำให้การตีความเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
แล้วความรู้เหล่านี้มาจากไหน
สัตว์โลกทั่วไปไม่สามารถมีความรู้เหล่านี้ขึ้นมาเองได้ ต้องอาศัยสัตว์โลกระดับสัพพัญญูเท่านั้น ที่จะเอาความรู้นี้มาสอนสัตว์โลกอื่นได้ ท่านจึงไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อท่านมาโปรดสัตว์ สัตว์โลกในระดับสัพพัญญูของท่าน มาเกิดเป็นมนุษย์เช่น เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ (ขันธโลก) แล้วอาศัยขันธโลกนั้นเพื่อโปรดสัตว์โลก ให้รู้ ให้ตื่น ให้เบิกบาน ตามท่านไปนั่นเอง
เมื่อมีความรู้มาถึงตรงนี้ เราจะทำอะไรได้บ้าง
หากเรามองอนาคตของเราได้แค่ขันธโลก เราก็จะแสวงหา เพลิดเพลิน อยู่กับสมบัติคุณสมบัติของกายมนุษย์
หากเรามองอนาคตไปไกลในระดับสัตว์โลก เราจะต้องเรียนรู้วิธีการยกระดับใจจิตวิญญาณของเรา เพิ่มระดับความรู้สึกนึกคิดของเรา เพื่อนำติดตัวไปข้างหน้า จึงเป็นความรู้เรื่องการสร้างบุญบารมี สืบต่อไป
หากเรามองอนาคตไกลขึ้นไปอีก ถึงระดับธาตุระดับธรรม ทำอย่างไรธาตุธรรมที่อุดหนุนเกื้อกูลเรา จะอยู่รอด ต้องศึกษากันอีกยาว แต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
มีบทความที่คล้ายกันเขียนอยู่ก่อนหน้านี้ ถือเป็นการอธิบายในอีกลักษณะหนึ่ง เช่น ความเข้าใจเรื่องโลก 3 กับคำทำนาย 2012 ลองดูนะครับ