Pages

Friday, September 24, 2010

กายมนุษย์นั้น สำคัญไฉน?

คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้พวกเราส่วนใหญ่ใช้กายมนุษย์อ่านบทความนี้อยู่ ผมกำลังจะคุยเรื่องกายมนุษย์(หยาบ)ของเรา โดยยกประเด็นทางวิชชาธรรมกายในแง่มุมต่างๆ นะครับ

กายมนุษย์ เป็นผลของทุกข์ (สมุทัย) ส่วนหยาบ

หากเรามองในแง่มุมของไตรลักษณ์ กายมนุษย์ตกอยู่ในไตรลักษณ์เต็มที่ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สายที่เชื่อในเรื่องไตรลักษณ์เต็มๆ มักพิจารณากายมนุษย์เป็นของเน่าเปื่อย เป็นรังแห่งโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า ก็ยังไม่มี และทางสายนี้ไม่ค่อยได้ยินใครกล่าวถึง ทางปฏิบัติไปสู่ความเป็นทิพย์ พรหม อรูปพรหม แต่เข้าใจจากความรู้ว่าแม้ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ก็ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ สุขที่แท้ต้องไปนิพพาน แต่ยังเถียงกันว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตา จึงเหมารวมๆ ว่าเป็นความว่างปราศจากทุกสิ่ง เอาความว่างนี้ว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง สรุปคือสอนให้ละวางจากกายมนุษย์อันเป็นไตรลักษณ์ ไปสู่ความว่างทั้งปวงอันน่าจะเป็นนิพพาน แต่การละกายมนุษย์ยังต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ไปฆ่าตัวตาย เพราะไม่สมเหตุสมผล และยังเป็นบาปอยู่

ในคู่มือมรรคผลพิสดารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ บทที่กล่าวถึงอริยสัจจ์ 4 กล่าวถึงกายมนุษย์ว่าเป็นตัวทุกข์ส่วนหยาบทั้งก้อน ส่วนกายทิพย์เป็นทุกข์ส่วนละเอียด หรือเป็นสมุทัย(เหตุ)ของกายมนุษย์ แล้วไล่เป็นลำดับขึ้นไปจนถึงกายธรรมซึ่งเป็นนิโรธกับมรรค การแก้ไขก็ต้องเพ่งเผากาย(กิเลส)ทั้งหลาย ไล่จากกายธรรม ลงมาที่กายอรูปพรหม กายพรหม กายทิพย์ และสุดท้ายกายมนุษย์ ถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นประโยชน์ใดใดของกายมนุษย์เลย

กายมนุษย์กับบทบาทในการทำวิชชา

คู่มือมรรคผลพิสดาร 1 บทที่ 35 กล่าวถึงการเดินวิชชาที่จะระเบิดไม่แตก เป็นบทแรกๆ ของการหัดทำกายมนุษย์พิเศษ

เนื้อหาทั้งปวงเป็นการทำกายมนุษย์(พิเศษ) จากกายมนุษย์สุดหยาบสุดละเอียด (แกนนอน – จะกล่าวถึงในบทความตอนต่อๆ ไป) แล้วใช้กายที่ทำขึ้นไปทำงานต่อ นั่นคือกายมนุษย์จึงเป็นกายที่ระเบิดไม่แตก ความรู้นี้เริ่มมีมาตั้งแต่ยุคแรกๆ แล้ว แต่อาจไม่ได้กล่าวตรงๆ เท่าใดนัก

ธาตุธรรมทั้งปวงต่างแย่งกันปกครอง(กาย)มนุษย์

เพราะกายมนุษย์(คง)ให้ประโยชน์ในเรื่องบารมีทั้งหยาบทั้งละเอียด หากมนุษย์เชื่อถือศรัทธา ก็จะประพฤติตามธรรม และกระทำพิธีกรรมทั้งปวงตามความเชื่อนั้นๆ เกิดบารมีขึ้นทั้งหยาบทั้งละเอียดจากธรรมเหล่านั้น ธาตุธรรมส่วนละเอียดจะได้ประโยชน์ตรงนี้ ดูว่าบารมีทั้งปวงต้องมาทำด้วยกายมนุษย์กายนี้

ประชากรมนุษย์ในโลกใบนี้ มีน้อยมากเมื่อเทียบกับในส่วนของธาตุธรรม

เราคิดกันเล่นๆ ขณะนี้โลกเรามีประชากรประมาณ 6 พันล้านคน แต่จำนวนพระพุทธเจ้า(ยังไม่นับสาวก) ที่เข้านิพพานไปแล้วมีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งสี่ หรือนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน และการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าต้องมาสร้างในโลกมนุษย์

แค่ 1 อสงไขยก็เป็นตัวเลข 1 คูณกับ 10 ยกกำลัง 140 เข้าไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้วเท่าไหร่ ยังเหลือรออยู่อีกเท่าไหร่ เพราะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เพียงนิดเดียว น่าคิด

เห็นตัวเลขแล้วน่าตกใจ เราคงเริ่มเห็นความสำคัญของการเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง มันคงมีอะไรมากกว่าการเกิดมาใช้กรรม หรือมาเป็นบ่าวของทุกข์สมุทัยเท่านั้น

Sunday, September 19, 2010

ปากช่องจมูก หญิงซ้าย ชายขวา

วิทยากรเคยสับสนเรื่องปากช่องจมูก หญิงซ้าย ชายขวา หรือไม่ ถ้าท่านสับสน ผมก็เคยสับสนมาก่อน เราลองมาพิจารณาเรื่องนี้กัน

ทำไมต้องหญิงซ้าย ชายขวา ไม่เหมือนกัน?

มันเป็นกฏ มันเป็นตำรา มันเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ห้ามสงสัย เหมือนจะถามว่าทำไมต้องมีผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ

ในบทต้นๆ ของคู่มือสมภารบอกว่าหากเราชำนาญแล้ว ในการเดินวิชชาครั้งต่อๆ ไป เราไม่ต้องเดินใจตามฐานก็ได้ ให้เราเอาใจไปตั้งที่ศูนย์กลางกายเลย ทำไมแนวทางของเราจึงต้องเดินฐาน 7 ฐาน หรืออย่างน้อย 3 ฐานลัดลงท้องอยู่?

คำถามนี้ผมถามคุณลุง โดยอ้างอิงข้อมูลที่ว่ากายทุกกายมีศูนย์(กลางกาย)ตรงกันเหมือนรูสตางค์แดงที่เราร้อยเชือกเข้าด้วยกัน ทำไมเรายังต้องเดินฐาน โดยเริ่มที่ปากช่องจมูกของกายใหม่ คุณลุงตอบว่า หากไม่มีมาร หรือจุดดำมาขวางเรา เราเดินวิชชาทะลุถึงกันได้เลย แต่มารเขามักเข้ามายุ่งกับเราทุกเรื่องทำให้การเดินวิชชาไม่สะดวกอย่างที่น่าจะเป็น อีกอย่างหนึ่งคือ ปากช่องจมูกเปรียบเสมือนประตูบ้าน เราจะเข้าไปกลางบ้าน เราต้องเข้าทางประตู

เวลาเดินวิชชา 18 กาย จนเข้าหากายธรรมต้นธาตุ แล้วเข้าหาพระพุทธองค์ในนิพพาน ล้วนยึดเพศของตัวเราคือ หากเราเป็นหญิงก็เข้าปากช่องจมูกซ้ายของกายธรรมต้นธาตุ และพระพุทธองค์ หากเราเป็นชายก็เข้าปากช่องจมูกขวาของกายธรรมต้นธาตุ และพระพุทธองค์ เราเลยถือว่ายึดตัวเราเป็นหลักตลอดมา

ต่อมาได้รับความรู้เพิ่มเติม เวลาเราจะยิงกายเราไปช่วยคนอื่น เราต้องดูเพศของคนที่เราจะช่วย และเข้าปากช่องจมูกให้ถูกตามเพศของเขา หรือแม้การละลายกายมารก็เช่นกัน ก็ต้องดูเพศเขาด้วย จึงเกิดความสับสนว่าจะยึดอะไรเป็นหลักดี?

ผมเคยให้วิทยากรถามความสับสนนี้แก่คุณลุง ได้รับคำตอบว่า อะไรกัน เดินวิชชามาตั้งนาน ปากช่องจมูกยังเข้าไม่ถูก แล้วเมื่อไหร่เราจะชนะ !?

สุดท้ายผมก็พบคำตอบว่า หากเราเดินวิชชาอยู่ในศูนย์(กลางกาย)ของเรา ให้ยึดเพศตัวเราเป็นหลัก หากเราเกิดความฉุกละหุก จำเป็นต้องยิงกาย(ฯลฯ)ของเราออกไปยังคนอื่น ให้ยึดเพศของคนที่เรายิงไปหา เป็นหลัก

จึงสรุปไว้เป็นข้อมูลในที่นี้นะครับ

Wednesday, September 15, 2010

คนบ้าหน้าร้าน

วันนี้อยากแบ่งปันเรื่องเบาๆ บ้าง เพื่อให้วิทยากรมีความเชื่อมั่นในวิชชา ว่าสามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัย กำจัดโรค ได้จริงๆ วันใดที่เรารู้สึกว่าเราเดินวิชชาได้ดีแสนดี พอออกจากวิชชาก็ โดน เลย เราก็อย่าเพิ่งท้อใจ และเข้าใจผิดในวิชชา เขาก็ต้องการให้เราเข้าใจอย่างนั้นคือ ถึงเธอจะเดินวิชชาได้ดีปานใด เธอก็โดน เราต้องฝ่าด่านนี้ไปให้ได้ ให้มันรู้กันว่ายิ่งโดน ก็ยิ่งเดินวิชชา ไม่มีอะไรมาห้ามเราได้ และถ้าโดนหนักๆ เข้า เราก็เป็นศิษย์มีอาจารย์ เราจะฟ้องคุณครูเรานะ ไม่ใช่พอเดินวิชชาแล้วโดน ก็ไม่กล้าเดินวิชชา เข้าทางมันพอดี!

เช้าวันหนึ่ง มีคนสติไม่ดี(บ้า) มายืนอยู่หน้าคลินิกของผม เนื้อตัวมอมแมม วางสัมภาระข้าวของไว้ที่ฟุตบาท พูดจาและร้องเพลงเสียงดัง แถมหยิบบุหรี่มวนใบจากขึ้นมาสูบอย่างสบายอารมณ์ เราคิดว่ามันร้องเพลงจนเหนื่อย ก็คงจะไปเอง แต่น่าแปลก คนบ้าไม่เคยเหนื่อยง่ายๆ เสียงดังขึ้นทุกที พร้อมกับกลิ่นบุหรี่ใบจากลอยเข้ามาในร้าน

แว่บแรกๆ ของความคิด คือพยายามแก้ไขแบบคนทั่วๆ ไป เราจะออกไปเตะมันซะเลยดีไหม หรือจะหาตำรวจที่ไหนมาจับตัวมันไป นึกไปนึกมา ก็นึกถึงที่คุณลุงเคยสอนให้ช่วยคน เวลาเขากำลังทำร้ายตัวเอง เอามีดเชือดตัวเอง เออ ทำไมเราไม่นึกถึงการแก้ไขทางวิชชาก่อน

ผมนึกเอาใจกายมนุษย์(พิเศษ) ยิงเข้าไปในกายมนุษย์ของคนบ้า เข้าไปตามฐาน 7 ฐาน(หรือ 3 ฐานลัดลงท้อง) เข้าไป หมุนขวา แลบลั่นย่อยแยกระเบิดผ่าดับละลายให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ฯลฯ ตามที่คุณลุงสอนเอาไว้ แล้วไปทำที่กายฝัน กายทิพย์หยาบ ทิพย์ละเอียด ... จนถึงกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียด ของคนบ้า ปฏิโลมกลับมาที่กายมนุษย์ของคนบ้าอีกครั้ง ทำไป ละลายลูกเดียว

แล้วเงี่ยหูฟังว่ามันไปหรือยัง เอ เสียงมันเงียบไปเหมือนกันนะ แอบหรี่ตาดู อ้าว มันร้องเพลงต่อ แถมหยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นมาสูบ มันยังไม่ไป มันจะได้ผลหรือเปล่าเนี่ยะ ผมหลับตาจะเดินวิชชาต่อ

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันดัง ไป ไปเลย มาสูบบุหรี่หน้าร้านหมอเขาได้ยังไง โน่น ไปอยู่ริมน้ำโน่น !!คนข้างบ้านถัดไปอีก 2 ห้อง เดินมาไล่ให้ คนบ้าเผ่นกระเจิงไปทันที

หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์แก้ไขอะไรๆ ด้วยวิชชามาบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย อาจเป็นความบังเอิญก็ได้

เพียงแต่การแก้ไขมันเกิดหลังจากเราเดินวิชชาเท่านั้นเอง

Friday, September 10, 2010

ศพไม่เน่า

หลายปีมาแล้ว ผมเคยไปเที่ยวจังหวัดหนึ่งกับวิทยากร โดยต้องขึ้นเครื่องบินไป วัดแห่งหนึ่งที่นั่น มีศพที่ไม่เน่าเปื่อยของอดีตพระอาจารย์รูปหนึ่งตั้งไว้ให้เราเคารพสักการะ ลักษณะเป็นศพที่แห้งและไม่เน่าเปื่อย อยู่ในท่านั่งสมาธิ ในครอบแก้ว มองเห็นได้ชัด ความที่ผมเคยไปกราบศพหลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่บ่อยๆ ทำให้เรานึกว่ากายศพที่เราเห็นในครั้งนี้ยังเป็นกายมนุษย์(หยาบ) ของพระอาจารย์รูปนั้น

ผมเก็บความเข้าใจนี้ไว้ จนมีโอกาสโทรศัพท์ไปสอบถามคุณลุง อาจารย์ในวิชชาธรรมกายของเรา ผมเริ่มถามคุณลุงว่าผมไปเห็นศพไม่เน่าเปื่อยมา หากผมอยากตรวจสอบ ผมก็เดินวิชชาไปตามฐาน 7 ฐาน(หรือ 3 ฐานลัดลงท้อง) ของศพแล้วเข้าไปใน 18 กายของศพ ใช่หรือไม่?

คุณลุงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจความรู้ของผมนัก ถามผมกลับว่าหมอจะไปดูอะไร? หมออยากทำอะไร?

ถ้าหมออยากตรวจคนตายว่าไปไหน หมอต้องไปที่ตีนเขาพระสุเมรุ แล้วใช้ธรรมกายเราเรียกท่านมาสอบถาม เมื่อเห็นท่านก็ต้องตรวจสอบก่อนว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แล้วสอบถามท่านไป เช่นท่านมาบำเพ็ญบารมีแล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ มีสารทุกข์สุกดิบอย่างไร เป็นต้น

ส่วนศพที่เราเห็น ก็ดูให้ดีว่ามีใครมายึดครองอยู่ อาจเป็นจักรพรรดิ์ หรือไม่ก็กายธรรม แต่มักเป็นจักรพรรดิ์มากกว่า ตรวจดูว่าเป็นภาคไหน เราจะทำอะไรต่อ ก็ว่ากันไปตามสมควร

ผมจึงได้ความรู้ว่า นี่ไม่เหมือนกรณีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ศพที่ไม่เน่าจะเป็นสถานที่(ภพ)อีกแห่งหนึ่ง ที่จักรพรรดิ์กายสิทธิ์แย่งกันเข้ามายึดครอง เจ้าของดั้งเดิมท่านไม่อยู่แล้ว ท่านไปอยู่ตามภูมิธรรมของท่าน

สมัยก่อนเราเชื่อว่าการที่ศพไม่เน่าเปื่อย กระดูกเป็นพระธาตุ เป็นตัวชี้วัดของพระอริยสงฆ์ จริงๆ แล้วหากเราตรวจสอบได้ชัดเจนจริง ก็ไม่ต้องอาศัยตัวชี้วัด แต่เราเป็นผู้ไม่รู้ เราจำเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดอยู่ แต่ตัวชี้วัดก็เป็นแค่ตัวชี้วัด ทำเลียนแบบให้เราสับสนได้เสมอ เราจึงควรใส่ใจในเหตุผลสำคัญหลักๆ จะดีกว่า

เพราะใบปริญญา ใบรับรองแพทย์ บางครั้งก็ปลอมได้ !

Wednesday, September 8, 2010

ท่องจำเอา

หลายท่านคงสงสัยว่าวิทยากรสอนธรรมปฏิบัติ เห็นธรรมะที่ตนสอนหรือไม่ ?

ผมตอบได้ทันทีเลยว่า เห็นสิ !!

เพราะความเห็น หรือทุกสิ่งในโลก ล้วนมี ต้นกลางปลาย อ่อนแก่ หยาบละเอียด เล็กโต อดีตปัจจุบันอนาคต ฯลฯ ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเรามองมุมไหน

ใจของเราประกอบด้วย เห็น จำ คิด รู้ ตัวรู้อยู่ลึกสุด ละเอียดสุด เรารู้ก่อนแล้วค่อยๆ คิดนึก จำได้ จนเห็นด้วยใจ ตัวความเห็นเองก็ยังมีอ่อนแก่ หยาบละเอียดอีกเช่นกัน จากเลือนลางจนเป็นความนึกคิดในมโนภาพ จนกระทั่งเห็นแจ่มชัดเหมือนลืมตาเห็น คือนึกได้จาก 20% เป็น 50% เป็น 80% เป็นนึกได้ 100% ก็คือเห็นนั่นเอง

การเห็นด้วยตาเรา มันเห็นเลย ส่วนการเห็นด้วยใจ บางท่านเห็นเลย (แต่อย่าลืมว่าต้องตรวจสอบความถูกผิดด้วยเสมอ ไม่ว่าการเห็นนั้นจะชัดเจนปานใดก็ตาม) แต่คนส่วนใหญ่ต้องนึกนำ

ก็ใจเรานึกอะไรก็ได้ เราจะนึกนำยังไง

เราก็นึกสิ่งที่มีแก่นสารสิ นั่นคือนึกไปตามรอยใจที่ถูกต้อง ถูกหลักวิชชาที่ธาตุธรรมระดับครูบาอาจารย์อุตส่าห์ค้นคว้ามาได้ เป็นแผนที่และพิมพ์เขียวอันเป็นที่ยอมรับแล้ว สร้างรอยใจที่ถูกไว้ ความเห็นที่ถูกมันจะตามมา

บางท่านไม่ให้นึกอะไรเลย แล้วใจเราจะไปยังจุดหมายที่ถูกต้องได้อย่างไร เหมือนถนนหน้าบ้านเราสามารถนำเราไปสู่ จ.เชียงใหม่ ได้ แต่เราทำแค่เอาตัวเราไปจ่ออยู่บนถนนหน้าบ้านเท่านั้น ไม่มีการกระทำของการเคลื่อนที่ไป เราก็ยังไปไม่ถึงซักที

นึกเอา ท่องเอา จะมีอานิสงค์จากการทำวิชชาหรือ

มันเป็นการทำงานทางใจ ใจทำงาน ก็ต้องได้งาน กล้ามเนื้อทำงานออกแรง กล้ามเนื้อก็ค่อยๆ มีแรงขึ้นมาทีละนิด และเกิดงานด้วย

แม้ความรู้ในทางโลก ก็อาศัยผู้ที่ค้นคว้าได้ก่อนมาบอกเรา หรือเขียนตำราทิ้งไว้ให้เรา เราทำตาม ไม่ต้องเสียเวลาค้นเอง ก็เกิดอานิสงค์ แพทย์รุ่นหลังรักษาคนไข้จากตำรา(Textbook)ที่แพทย์รุ่นก่อนเขียนไว้ให้ ยังไม่จำเป็นต้องทดลองความรู้เองจากความไม่มีอะไร ไม่ต้องลองผิดลองถูกแบบคนยุคเก่าๆ ท่องจำความรู้นั้นได้ โดยอาศัยการต่อยอดมาจากวิชชาแพทย์ดั้งเดิมอันเป็นที่ยอมรับมาเรื่อยๆ คนไข้หายป่วย ก็เป็นอานิสงค์ของความรู้อันถูกต้องที่แพทย์นำมาใช้

การท่องวิชชาให้ติดปาก เหมือนเราเคยท่องอาขยานสมัยเด็กๆ ก็คือการทำให้เราจำได้ แล้วตอกย้ำการทำงานของใจเราไว้ให้สม่ำเสมอ เพียงแต่เราต้องเลือกสิ่งที่เราจะท่องว่ามีคุณค่าจริง

พรสวรรค์ กับ พรแสวง

วันนี้เรามาพิจารณาเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง พรสวรรค์กับพรแสวง เป็นคุณสมบัติประจำตัวของมนุษย์ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เหมือนกับคุณสมบัติของตะกั่วกับทองคำ หากดูว่าเป็นเพียงของแข็ง มันก็ไม่ต่างกัน แต่ถ้าดูคุณสมบัติแยกแยะอย่างอื่น มันต่างกันมาก บางคุณสมบัติเราอาจไม่ได้นำมาใช้สอยเพราะเหตุผลบางอย่างเช่น ทองคำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด แต่เราไม่เอามาทำสายไฟ เพราะแพงไป เอามาทำเครื่องประดับดีกว่า

สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณสมบัติเหล่านี้ ยังไม่ได้ตัดสิน ดีเลว ถูกผิด ใช่ไม่ใช่ มันขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ต่างหาก

พรสวรรค์ คือคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

พรแสวง (ศัพท์คงไม่เป็นทางการนัก แต่จะใช้ในบทความนี้) คือสิ่งที่เราฝึกฝนสร้างขึ้นมาใหม่

เราจะดูพรสวรรค์ของมนุษย์อย่างไร? เราก็ต้องแยกแยะกาย(จิต)วิภาคออกไป มนุษย์มีขันธ์ ที่ติดต่อกับโลกภายนอกด้วยอายตนะ ตีความสิ่งที่รับเข้ามาจากอายตนะด้วยธาตุและอินทรีย์และลึกๆ เข้าไป

ความสามารถทางอายตนะนั่นแหละ เป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ อายตนะมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละอย่างมีหน้าที่ต่างกัน หน้าที่ที่เด่นขึ้นมาเป็นพิเศษของอายตนะใดใด ถือเป็นพรสวรรค์ของอายตนะนั้นๆ

ตา

ผู้ที่เกิดมามีประสาทสัมผัสทางตาดี ก็มีพรสวรรค์ทางการใช้สายตา แยกแยะสีสรร สิ่งของต่างๆ ได้รวดเร็ว ตรวจดูความผิดเพี้ยนของสี ตรวจทานคำผิด ได้แม่นยำกว่าคนทั่วไป

เราฝึกพรแสวงทางตาได้ภายหลังจากการฝึกฝนสายตาของเราอยู่บ่อยๆ ผมเคยเห็นเพื่อนแพทย์ที่อยู่แผนก X-ray สามารถบรรยายสิ่งที่เห็นเป็นเงาในฟิล์ม X-ray ได้อย่างละเอียดละออ ทั้งที่แต่ก่อนเขาก็ยังไม่เก่งอย่างนี้ มันอาศัยการฝึกฝนในตอนเรียนแพทย์เฉพาะทางนั่นเอง

หู จมูก ลิ้น กาย

ผมคงไม่ต้องบรรยายไปทีละอันแล้ว อธิบายเหมือนเรื่อง ตา นั่นแหละ

สิ่งที่ผมอยากเน้นก็คือ ความสามารถเหล่านี้ จะดีจะเลว จะถูกจะผิด อยู่ที่การนำไปใช้ หากเราตาดี เราจะเอาไปเป็นโจรทิ้งระเบิดได้แม่นยำ หรือจะเป็นหมอเอ็กซเรย์วินิจฉัยโรคให้คนไข้ ก็สุดแต่เรา

ใจ

ใจเป็นอายตนะที่สำคัญที่สุด เพราะมีหน้าที่สำคัญถึง 4 อย่างคือ เห็น จำ คิด รู้ หากหน้าที่ของใจ มีพรสวรรค์ ได้พรแสวง ขึ้นมาเสียแล้ว ย่อมมีพลังที่จะนำมาใช้สอยได้อีกมหาศาล

ผู้ที่(อาจ)โชคดี เกิดมามีพรสวรรค์ทางใจติดตัว สัมผัสทางใจเป็นขึ้นมาแต่กำเนิด อาจ เห็นอะไรได้ด้วยใจ จำอะไรได้ดีกว่าใคร คิดเป็นเหตุเป็นผลจนเป็นอัจฉริยะ หยั่งรู้ในสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยังรู้ไม่ถึง กลายเป็นบุคคลพิเศษ เป็นหมอดูตาทิพย์ บางทีญาติพี่น้องเข้าใจว่าลูกหลานตนเป็นโพธิสัตว์มาเกิด ยกย่องจนเจ้าตัวนึกว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์มาจริงๆ ทั้งที่มันเป็นเพียงพรสวรรค์ของประสาทสัมผัสทางใจเท่านั้น

เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความสามารถเหล่านี้ ต้องมีปัญญากำกับควบคุม เราจะเอามันไปใช้อย่างไร ไม่ให้หลงทาง ไม่ให้หลงตัว ใช้มันให้สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีพรสวรรค์ติดตัว และมาศึกษาเรื่องราวของชีวิตต่อในชาตินี้

การฝึกฝนทางจิตใจเพื่อให้เกิดความสามารถเหล่านี้ ก็คือการออกกำลังทางใจด้วยการทำสมาธิ เกิดเป็นพรแสวงทางใจขึ้น นั่นเอง

เมื่อจิตเป็นขึ้นแล้ว ท่านจะเอาจิตที่มีกำลังนั้นไปทำอะไรต่อ ไปเป็นหมอดู ไปสร้างระเบิดนิวเคลียร์ หรือไปเรียนรู้โลกให้แจ่มแจ้งและหาทางหลุดพ้น

จำไว้ ถูกผิด ดีชั่ว ใช่ไม่ใช่ มันอยู่ที่การนำไปใช้ !

Tuesday, September 7, 2010

วิชชา 18 กาย (1)

ผมไม่ได้จะเขียนบทท่องสอบวิปัสสนาจารย์ซ้ำ แต่ครั้งนี้อยากกล่าวถึงวิชชา 18 กายในหลายๆ แง่มุม เท่าที่จะหยิบยกมากล่าวได้ ทั้งนี้ เป็นมุมมองส่วนตัวของผมเอง

วิชชา 18 กาย เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?

ผมไม่ทราบว่ามีที่ใดอ้างอิงไว้ก่อนหรือไม่ ทราบแต่ข้อมูลเหล่านี้ คือ
พ.ศ.2460 หลวงพ่อวัดปากน้ำค้นพบวิชชาธรรมกาย
พ.ศ.2473 หลวงพ่อวัดปากน้ำเริ่มทำวิชชาปราบมาร
พ.ศ.2481 พระมหาจัน (ปธ.5) รวบรวม คู่มือมรรคผลพิสดาร 1 มี 46 บท แต่กว่าจะออกตีพิมพ์ได้ ก็ปี พ.ศ.2517 หลังหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพไปแล้ว
พ.ศ.2492 มีการตีพิมพ์ คู่มือสมภาร ตามบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชในยุคนั้น ใช้เวลาเรียบเรียงประมาณ 1 ปี จึงทำให้ทราบว่ายุคนั้นค้นคว้าความรู้ไปได้แค่ไหน? สรุปคือ ค้นพบดวงธรรมเริ่มตั้งแต่ 1 ดวงธรรม จนค้นพบ 6 ดวง และกาย 5 กาย การทำละเอียดใช้การเดินฌานสมาบัติเป็นหลัก ทั้งหมดมี 15 บท
6 มี.ค.2492 เทศนากัณฑ์ที่ 2 รัตนตตยคมนปณามคาถา ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ยังกล่าวถึง 6 ดวงธรรม 5 กาย เท่านั้น
25 ส.ค.2496 เทศนากัณฑ์ที่ 3 อาทิตตปริยายสูตร ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เริ่มกล่าวถึง 6 ดวงธรรม 18 กาย เป็นครั้งแรก น่าสังเกตว่า การบันทึกเทศนาของหลวงพ่อในช่วงนี้ มีช่วงว่างถึง 4 ปี เทศน์หลังจากนี้ หลวงพ่ออ้างอิงวิชชา 18 กายมาโดยตลอด

จากข้อมูลข้างต้น ผมจึงขอสรุปว่า วิชชา 18 กายน่าจะเกิดขึ้น ในช่วง พ.ศ.2493-2496 นั่นเอง หากท่านใดมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ ได้โปรดแบ่งปันด้วยนะครับ

พ.ศ.2502 หลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพ แสดงว่าวิชชา 18 กายเกิดมาในช่วงไม่ถึง 10 ปีในยุคหลังๆ ของหลวงพ่อ


คำว่า วิชชาชั้นสูง

คือ วิชชาที่เรียนรู้โดยอาศัยรู้ญาณของกายธรรม


การเดินวิชชา 18 กาย หลังยุคหลวงพ่อ คุณลุงท่านว่าไม่มีใครเดินวิชชานี้ได้ตลอดรอดฝั่งเลย จึงต้องใช้วิธีเหนี่ยวนำให้เกิดกายธรรมเบื้องต้นขึ้นมาก่อน แล้วใช้รู้ญาณของกายธรรมช่วยเดินวิชชา 18 กาย จึงจะตลอดรอดฝั่ง

วิชชา 18 กายจึงเป็นวิชชาชั้นสูง คุณลุงเคยพูดในเทปบอกนำวิชชาตอนหนึ่ง ตอนนั้น เสียงของคุณลุงเริ่มไม่มีแล้ว ท่านกล่าวถึงขนาดที่ว่า ไม่มีวิชชาใดสูงไปกว่านี้อีกแล้ว


วิทยากรต้องเดินวิชชา 18 กายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า และก่อนนอน

เปรียบเสมือนการกางร่มกันฝนไม่ให้เปียกถูกตัวเรา


การแก้ ทุกข์ ภัย โรค

แต่เดิมเราอาจต้องทำวิชชาแก้หลายขั้นตอน ปัจจุบัน คุณลุงเรียกผมเข้าไปสอน โดยบอกแล้วบอกอีกว่า ให้เดิน 18 กายเข้าไว้ ปัญหาทั้งปวงจะดีเอง แต่เดิมผมคิดว่าวิชชาเราหดตัว แต่เมื่อพิจารณาอีกมุมหนึ่ง กลายเป็นว่าวิชชานี้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เพียงการเดิน 18 กายก็แก้ทุกข์ภัยโรคได้ ไม่ต้องเปลืองขั้นตอนอื่น

ตัวอย่างปัญหาต่างๆ เช่น เจ้านายหยาบคาย งูพิษหลงเข้ามาในบ้าน เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น
เรื่องทุกข์ภัยโรค ให้ดูอีกบทความหนึ่งด้วย

สุดท้าย ขอทิ้งเรื่องวิชชา 18 กาย ในมุมมองของผมไว้แค่นี้ก่อนครับ