ผมยังไม่ได้บอกถึงการเดินวิชชาแก้โรค
เพราะเรื่องบางอย่างยังไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ
เราต้องแน่ใจก่อนว่าผู้ที่จะเอาวิชชาไปทำ มีความรู้ถึงหรือยัง
การไปเดินวิชชาชั้นสูงมีความเสี่ยงต่อตนเองและผู้อื่น
รวมถึงธาตุธรรมส่วนรวมโดยเจ้าตัวไม่รู้คือต่อตีนโจรไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ที่ผมจะเขียนต่อในที่นี้จะเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วไปเกี่ยวกับการแก้โรคที่ยังไม่ได้พูดถึง
อาจารย์แพทย์อาวุโสท่านหนึ่งสอนผมในชั่วโมงแรกที่เราข้ามฟากจากคณะวิทยาศาสตร์มายังคณะแพทย์ศาสตร์ว่า
โรคจำแนกตามการหายของโรคได้ 3 อย่างคือ 1. รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย 2. รักษาหาย
ไม่รักษาไม่หาย 3. รักษาก็ไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย ข้อ 1 และข้อ 3 ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องพึ่งการรักษา แต่การรักษาทางการแพทย์จะช่วยลดความทุกข์ทรมานจากโรคเหล่านี้ได้
เราต้องเข้าใจว่าเวลาเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ บางที 2-3 วัน มันก็หายไปเอง โดยไม่ต้องกินยาหรือเดินวิชชาแก้เลย
ถือเป็นเพียงเหตุรำคาญ เท่านั้น
เราจะพูดต่อถึงโรคที่ยากแก่การหาย
วงการแพทย์พยายามหาตัวชี้วัดสำหรับโรคเหล่านี้ เช่นโรคมะเร็ง
ว่าหลังวินิจฉัยและได้รับการรักษา หากคนไข้มีชีวิตอยู่ถึงระยะหนึ่งที่กำหนด
ก็ถือว่าการรักษาประสบความสำเร็จ บางท่านอาจเรียกว่าหายแล้วก็ได้ เช่น 5 years
survival คืออยู่มาได้ 5 ปีหลังการรักษาก็ถือว่าการรักษาเกิดผลสำเร็จแล้ว โรคบางอย่างให้ถึง 10 years
survival แต่บางอย่างก็ให้แค่ 3 years
survival เท่านั้น เราต้องเข้าใจตรงนี้เพื่อวางความคาดหวังของเราไว้ให้ชัดเจนเสียก่อน
ขึ้นชื่อว่า มนุษย์
คงไม่มีใครไม่เคยเจ็บป่วย แม้แพทย์ผู้รักษาคนไข้ ในบางเวลาก็ต้องเป็นคนไข้เสียเอง
ยังไงก็ยังเป็นมนุษย์ด้วยกัน
ถ้าเรามีความรู้ทางวิชชา เราย่อมแก้โรคได้
ในฝั่งของผู้ป่วยก็ควรทำตัวเป็นภาชนะที่ดีสำหรับรองรับการแก้โรคไปด้วย
หากเป็นผู้ที่เข้ามาทางสายวิชชาด้วยกัน อันนี้ไม่ยาก ให้เดินวิชชา 18 กายให้หนักมือขึ้น แต่ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็ควรสอนธรรมปฏิบัติให้เขาทำ จนเกิดดวงใสในท้อง
ท่องสัมมาอะระหัง นึกถึงดวงใสในท้องให้เป็นนิจสิน
หากสอนให้เกิดกายธรรมได้ด้วยก็ยิ่งดี นั่นคือปรบมือทั้ง 2 ฝ่าย
มาถึงตอนนี้ ก็ยังมี ความคาบลูกคาบดอก เข้ามาเกี่ยวข้องกับการแก้โรค
ผมเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยเพราะเห็นมามาก
บางท่านอยากหายก็เอาทุกทาง ( ในแง่ของวิชชาส่วนละเอียด ไม่เกี่ยวกับส่วนหยาบของวงการแพทย์ ) คือแก้ด้วยวิชชาธรรมกายแล้ว ก็ยังไปทำพลีกรรมเรื่องอื่นๆ เผื่อไว้ด้วย ไปบูชายักษ์บ้าง
ไปแก้เกี้ยวบ้าง หากเรามีความรู้ว่าการแก้โรคมีทั้งพระและมาร ภาคพระแก้ไว้ให้แล้ว
เราก็ยังไปทำพิธีของภาคมารประกอบด้วยในฐานะ “ไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่” วิชชาและบารมีที่ภาคพระแก้ไว้ให้ก็เสียหาย
อย่างนี้เท่ากับเราให้เงินขอทานเพื่อไปซื้อข้าวกิน แต่ขอทานเอาไปซื้อเหล้า นั่นเอง
แม้ความเชื่อคาบลูกคาบดอกในเนื้อหาวิชาก็เช่นกัน
โดยถือปรัชญาที่ว่าที่ไหนๆ ก็ดีหมด สอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้น
แต่ไม่ดูว่าความดีที่สอนเป็นแค่ฉากหน้าที่เขาหลอกให้เราเข้าใจผิดหรือเปล่า
โปรยเงินทำบุญไปทั่ว บำรุงทั้งพระทั้งมาร ข้าไม่ศึกษาเรียนรู้ทั้งนั้นว่าแก่นแท้ vision
mission แท้ๆ ข้างในเป็นอย่างไร เวลาทำบุญกับพระ
พระให้บารมี พอไปเข้าพิธีของมาร มารก็มาระเบิดบารมีไป แบบนี้จะให้ภาคพระวางแผนกับคนกลุ่มนี้อย่างไร
ปัจจุบันเรามีปัญหากับความคาบลูกคาบดอกมากที่สุด ถ้าแสดงตัวเป็นมารเสียเลย
เราระมัดระวังได้ง่ายกว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่า เส้นทางไหนๆ ที่อ้างการทำดีใดใดก็จะถูกไปทั้งหมด
เพราะหากพิจารณาแล้วเส้นทางหนึ่งถูก เส้นทางอื่นก็ย่อมต้องผิดเพราะอย่างดีก็เป็นแค่ทางอ้อม ท่านต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วเข้าหาสิ่งที่ถูกที่สุดเท่านั้น
บารมีคาบลูกคาบดอก มีปัญหาถึงขั้นต้องดับตัวละครสำคัญมาแล้ว
บารมีคาบลูกคาบดอก มีปัญหาถึงขั้นต้องดับตัวละครสำคัญมาแล้ว
ขอจบบทความตอนนี้ไว้แค่นี้ก่อนครับ