ผมยังใช้หัวข้อของ "อภัยทาน" เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ตอนนี้เราคุยต่อ
จากภาค 2 เราเข้าใจเรื่องอภัยทานมากขึ้นแล้ว หากเรานำแผนภาพในภาค 2
กลับมาใช้กับอามิสทาน และวิทยาทาน (หรือ ธรรมทาน) จะเป็นรูปร่างคล้ายกันดังนี้
กำหนดให้ A เป็นผู้ให้ ที่จะให้อามิสทาน หรือวิทยาทานต่อ B
X คือวัตถุทานที่เป็นส่วนผสมของสิ่งของที่จะให้ หรือความรู้ที่จะให้ กับอารมณ์ความเสียดายที่ A ปรุงแต่งเสริมขึ้นมา (F) นั่นคือ X=T+F
เป็นสมการทางคณิตศาสตร์
อีกเช่นกัน
จะเห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องของทาน มีใจ (F) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นี่แหละใจจึงเป็นใหญ่ ใจจึงเป็นประธานในการกระทำทุกอย่าง การให้ทานต้องยอมสละอารมณ์ออกไป
ไม่มากก็น้อย อามิสทานต้องเสียสละความเสียดายสิ่งของ
เสียดายเงินทองที่เราเพียรหามา วิทยาทานก็เสียสละความเสียดายความหวงแหนความรู้ที่เราพากเพียรเรียนมา
แม้ความรู้ไม่ได้หมดไปจากเรา แต่มันก็มีอารมณ์ที่ว่า สมัยเรากว่าจะได้ความรู้นี้ ยากลำบากยิ่งนัก
แต่นาย B ไม่ต้องลำบากแบบเรา เราสอนให้ ก็ได้ความรู้ของเราไปเลย
ส่วนอภัยทานต้องสละอารมณ์ขุ่นมัวออกไป
อามิสทานและวิทยาทานก็ต้องสละความเสียดายออกไป ความยิ่งใหญ่ของทานจึงมีส่วนของใจมาประกอบอยู่ไม่ใช่น้อย
มหาทานบารมีที่พระเวสสันดรบำเพ็ญ อาศัยความเสียสละแบบโพธิสัตว์ ที่ยึด 5 วลีที่ว่า
“ต้อง ให้ ได้ ทุก อย่าง” มีการสละลูกเมียเป็นทาน
ซึ่งจะต้องเอาชนะความหวงแหนอย่างที่สุดจึงจะทำได้
เรื่องที่อยากคุยต่อในภาคอภัยทานจริงๆ ยังไม่จบ
ตอนนี้เป็นเพียงดึงความเกี่ยวข้องของทานอีก 2 อย่างเข้ามาพิจารณา เอาไว้คราวหน้าค่อยคุยต่อครับ