เมื่อเราเข้าใจเรื่องการยกระดับธาตุธรรม
เราก็มาต่อยอดเรื่องจุดสูงสุดของศาสนากัน
จุดสูงสุดของศาสนาพุทธ คือนิพพาน ซึ่งทุกสำนักพูดตรงกัน
แต่เข้าใจต่างกัน ผมจึงขออ้างอิงเหตุผล (Logic) ง่ายๆ ดังนี้
มนุษย์ ทำคุณงามความดีเพื่อยกระดับธาตุธรรมของตน ไปเป็นเทวดา (ทิพย์)
มีเทวธรรมคือหิริโอตตัปปะ
สภาพเปลี่ยนจากความเกิดแก่เจ็บตายแบบมนุษย์ กลายเป็น เกิดกับตาย (จุติ)
ไม่มีแก่กับเจ็บ อายุยืนขึ้นจากความเป็นมนุษย์มาก
จากเทวดา ยกระดับธาตุธรรมไปเป็นพรหม อรูปพรหม มีพรหมวิหาร และฌานทั้ง 4 และ 8
เป็นคุณสมบัติ ยังมีเกิดกับตาย (จุติ) แต่อายุยืนยาวมาก มากจนนึกว่าเป็นอมตะ
เป็นนิรันดร์ แต่สุดท้ายก็ยังไม่พ้นจุติ ต้องยกระดับธาตุธรรมต่อไปให้ถึงนิพพาน
เมื่อยกระดับธาตุธรรมมาถึงนิพพาน เหตุและผลที่น่าจะต่อเนื่องมาก็ควรจะเป็น
มีเกิด(บรรลุธรรมเข้านิพพาน) แต่ไม่มีตายอีกแล้ว
มีอายุสืบเนื่องไปเรี่อยๆ เป็นอมตะ และบรมสุขอย่างแท้จริง
แต่คำสอนส่วนหนึ่งกลับเห็นว่านิพพานเป็นความว่างทั้งปวง ไม่ใช่แค่ว่างจากกิเลส
แต่ล่วงไปถึงการไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีแม้สถานที่ที่เป็นนิพพาน
สภาพไม่ต่างไปจากการไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี ตลอดกาล
แค่เหตุผลต่อเนื่องง่ายๆ ก็กลับหัวกลับหางมาจนได้
เรายกระดับธาตุธรรมด้วยการสร้างบุญบารมีมาแทบแย่ เพื่อมา “ตายตลอดกาล” หรืออย่างไร?
การพิจารณาไตรลักษณ์ จึงควรพิจารณาในระดับของภพ 3 ซึ่งเป็นระดับที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญบารมีอยู่ ไตรลักษณ์ไม่ควรเป็นลักษณะของจุดสูงสุดที่เรามุ่งหวังจะไปเป็นอยู่คือที่นั่น
การพิจารณาไตรลักษณ์ จึงควรพิจารณาในระดับของภพ 3 ซึ่งเป็นระดับที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด บำเพ็ญบารมีอยู่ ไตรลักษณ์ไม่ควรเป็นลักษณะของจุดสูงสุดที่เรามุ่งหวังจะไปเป็นอยู่คือที่นั่น