สมัยผมเรียนวิชชาธรรมกายใหม่ๆ ผมเคยได้ยินครูบาอาจารย์หลายท่านพูดว่า มนุษย์เป็นหุ่น สุดแต่ธาตุธรรมไหนจะเข้ามายึดครอง และเชิดหุ่นในตอนไหน ผมฟังก็คิดว่าพอเข้าใจบ้างแต่ก็ไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่ มาบัดนี้ เรายิ่งเห็นความเป็นหุ่นของมนุษย์มากยิ่งขึ้น
คำว่า "เป็นหุ่น" หมายความว่า เราไม่ได้เป็นตัวของเราเอง เรา(คิดพูด)ทำไปตามการบังคับบัญชาของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หากเป็นหุ่นให้มนุษย์ด้วยกันเอง ก็อาจถูกบังคับด้วยอำนาจ(มนุษย์)อื่นที่เหนือกว่า เช่นเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาเรา ว่าจ้างให้เงินเรา ใช้กำลังกับเรา นี่คือสิ่งที่เรามองเห็นได้ในโลกมนุษย์
แต่ในวิชชาธรรมกาย การเชิดหุ่น มาจากโลกส่วนละเอียดเข้าไปจากกายมนุษย์ หากดูผังการเดินวิชชาคือละเอียดไปทางแกนตั้งและแกนนอนของกาย แกนตั้งคือแกน 18 กาย แกนนอนคือแกนกายพิสดาร และทรัพยากรส่วนละเอียดต่างๆ ของกาย
บังคับในแกนนอน เช่น บังคับผ่านมาทางสาย ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อริยสัจจ์ ปฏิจจสมุปบาท แถมสิ่งเหล่านี้ ยังมีเห็นจำคิดรู้ ประจำอยู่ตลอดหมด มีเห็นจำคิดรู้ ย่อมมีกาย จึงมีผู้บังคับมากมายมหาศาล
บังคับในแกนตั้ง ก็บังคับผ่านมาทางกายที่ละเอียดๆ เข้าไป ตั้งแต่ กายฝัน กายทิพย์หยาบ ไล่ไปตามแกน 18 กาย ไปจนถึง กายธรรมพระอรหัตต์ละเอียด แต่ละกายละเอียดนั้นๆ ก็มีแกนนอนของตนเองอีก
เมื่อเรามาดูในภาคมนุษย์ ความรับรู้ของมนุษย์ทั่วไปไม่เห็นอะไรนอกจากสิ่งที่สัมผัสผ่านมาทางอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกาย และความสัมผัสรับรู้ทางใจบางส่วนของกายมนุษย์นั้น ไม่เห็นว่ามีใครมาบังคับให้เราคิดพูดทำใดใดได้ มนุษย์คิดว่าเรามีเหตุผลในการคิด พูด ทำ ของตัวเอง ถ้ามองอย่างหลักวิชชาก็คือ โง่ คือ อวิชชาครอบงำเต็มที่ นั่นเอง
มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเหมือน เล่นละครใส่กัน เป็นฉากๆ ลงจากฉากนี้ก็ไปฉากโน้นต่อๆ ไป เราลองมองผู้คนในตลาด ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่อหน้าเรา เราก็เห็นการพูดคุยสังสรรค์ให้เวลาและสถานการณ์มันผ่านๆ ไป ที่เป็นจริงเป็นจังบ้างก็น้อยเต็มที
ผมจะเล่าเรื่องของวิทยากรของเราให้ได้รับรู้ดังนี้
วิทยากรท่านหนึ่ง ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล ช่วงพัก มีหมอดูทางในเข้ามาทำนายทายทักเจ้าหน้าที่ทุกคน ทำนายได้ถึงลักษณะบ้านอยู่อาศัยของใครๆ บ้างก็ว่ามีจอมปลวกอยู่หลังบ้าน บางทีก็ทำนายถึงญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถูกต้องอย่างประหลาด แต่ไม่หันมาพูดถึงหรือทำนายวิทยากรของเราแม้แต่ประโยคเดียว ทั้งที่นั่งตำตาอยู่ตรงหน้า และเรียกร้องให้เขาลองทำนายให้ด้วยซ้ำ พอมีคนมาใหม่ เขาก็หันไปทำนายคนใหม่นั้นต่อ จนกระทั่งผู้คนไปกันหมด เหลือแต่วิทยากรกับหมอดูคนนั้น วิทยากรบอกว่าทายหนูได้หรือยัง หมอดูทำท่าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ขอตัวว่ามีธุระจะรีบไป วิทยากรเราเซ้าซี้ต่อ เขาเสียไม่ได้ เขาให้แบมือ แล้วบอกว่าเส้นลายมือดี เอามาต่อกันเป็นรูปเรือหงส์ ไปโน่น ไม่ทายด้วยรู้ญาณแบบเมื่อกี้ ราวกับว่าคนเชิดไม่อยู่แล้ว สุดท้ายก็รีบผละไป
เห็นได้ชัดเจนว่า คนกลุ่มที่เขาทำนายทายทักได้ เขาสื่อสารกันด้วยส่วนละเอียด เขาคุยกันเรื่องของเขาเป็นคุ้งเป็นแคว พวกใครพวกมัน พอมาถึงวิทยากรอย่างพวกเรา เขาไม่(กล้า)ยุ่งด้วย
เล่าอีกเรื่องหนึ่ง น้องสาวผมป่วยเป็นต่อมไทรอยด์อักเสบ (Hashimoto thyroiditis) ตอนเริ่มเป็นก็แค่เจ็บๆ คอ กินยาทั่วไปไม่หาย ปล่อยจนเจ็บมากเป็นเดือน เริ่มมีอาการไทรอยด์เป็นพิษร่วมด้วย (Hyperthyroid) ระหว่างป่วยก็มีงานรัดตัว จนไปไหนมาไหนไม่ได้ เช้าวันหนึ่งอาการกำเริบมาก จึงโทรหาคุณลุง (อาจารย์ทางวิชชาธรรมกายของพวกเรา) ท่านบอกว่าเดี๋ยวท่านแก้ให้เลย พักเดียว มีลูกน้องที่โดยปกติก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เดินเข้ามาหา บอกว่าคุณเป็นอะไร ดูไม่ค่อยสบาย น้องผมบอกว่าไม่รู้ซี มันเจ็บคอมาก ทานยาก็ไม่หาย เขาจ้องเขม็งบอกว่าเป็นอย่างนี้ ปล่อยไว้ได้อย่างไร แล้วเอามือมาแตะที่คอ บอกต่อว่านี่น่ะ เป็นไทรอยด์ ต้องรีบไปหาหมอ ไปเดี๋ยวนี้เลย หนูจะเรียกแท๊กซี่ให้ ห้ามขับรถเองเด็ดขาดนะ (มันสั่งเรา) น้องผมไม่ได้ไปแท๊กซี่ของเธอหรอก แต่ก็ไปหาหมอ และเริ่มต้นการรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่วันนั้น
เหตุการณ์ยังไม่จบ กลับจากพบแพทย์แล้ว บ่ายวันนั้นเอง น้องผมตั้งใจจะไปขอบคุณลูกน้องที่แนะนำให้ไปหาหมอเมื่อเช้า พอไปหาเขา เขาตกใจที่เจ้านายมาหา และทำท่า “จำไม่ได้” ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเช้า เจ้านายจะมาขอบคุณเขาทำไม แล้วเขาก็รีบตัดบทผละไป
ตอนนั้น เขาเป็นหุ่นของใครซักคน มาช่วย “จัดการ” เรื่องความเจ็บป่วยของเรา ให้ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง เท่านั้นเอง
ที่เล่ามา เป็นเรื่องจริง ไม่ได้ปรุงแต่งใดใดทั้งสิ้น รายละเอียดอาจตกหล่นไปบ้าง เพราะผมจำได้แค่นี้
สุดท้ายจึงมาถึงคำถามที่น่าสนใจ คือ
- ทำไมมนุษย์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทำไมคนบางคนเคยทำงานให้ภาคขาว ต่อมาไปทำให้ภาคมาร ต่อมาไม่ทำอะไรเลย หรือกลับไปกลับมา
- ทำไมครูบาอาจารย์ที่สู้รบปรบมือกับส่วนละเอียด จึงไม่คิดหาใครมาดูแลใกล้ชิด
- ทำไมการจับเข่าคุยกัน ตกลงกันไปแล้ว จึงไม่มีผล
- ทำไมโจรจึงกลับใจ
- ทำไมคนเราได้รับข้อมูลเหมือนๆ กัน ในเวลาเดียวกัน จึงคิดไม่เหมือนกัน
- ฯลฯ