Pages

Tuesday, December 14, 2010

ปิฎกของครูบาอาจารย์

วันนี้ติดอภินิหารหน่อย เป็นเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของครูบาอาจารย์สายวิชาธรรมกายในอีกมุมมองหนึ่ง นั่นเอง


ผมเคยพูดถึง ความเชื่อของพุทธศาสนิกชน มาแล้ว มีอยู่ส่วนหนึ่งที่มีความเฃื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสายธรรมกายก็มีความเชื่อเอนเอียงมาทางนี้เป็นหลักใหญ่


ความรู้ในวิชชาก่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเราศึกษามากขึ้น จะพบว่าแม้เป็นความรู้เดียวกัน แต่ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เท่ากัน นี่จึงเป็นความแตกต่างในวิชชาธรรมกาย ที่ทำให้ต้องมีความรู้เพิ่มเติมว่าวิชชานี้ มีเจ้าของวิชชา และการทำความศักดิ์สิทธิ์ ต้องให้เจ้าของวิชชาเป็นผู้อนุญาต อีกส่วนหนึ่งคือบารมีที่เราสร้างสะสมมากขึ้นในทุกๆ วันด้วย


ใครเป็นเจ้าของวิชชาธรรมกาย?


คำถามนี้เป็นคำถามในบทเรียนคู่มือมรรคผลพิสดารภาค 2 คำตอบคือ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของวิชชาธรรมกาย หากเจ้าของวิชชาไว้วางใจใคร ก็จะมอบความศักดิ์สิทธิ์ไว้กับผู้นั้น ครูบาอาจารย์แต่ละยุคจึงมีความศักดิ์สิทธิ์กันเป็นรุ่นๆ รวมถึงการทำวิชชาของครูอาจารย์ในแต่ละเหตุการณ์ ก็ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์เฉพาะอย่างด้วยเช่นกัน


การศึกษาวิชชาธรรมกายจึงต้องศึกษาเหตุการณ์ประกอบในแต่ละยุคด้วย


คำว่า สัมมาอะระหัง


ผู้ใดท่องคำว่า สัมมาอะระหัง พระพุทธเจ้าจรดกระหม่อมผู้นั้นทันที อันนี้ผมได้ยินมาว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านไปตกลงกับพระพุทธเจ้าไว้


ส่วนที่เรามาบรรยายความหมายต่างๆ ตามตัวหนังสือ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


การเข้าหากายธรรมต้นธาตุ


อันนี้เป็นความรู้จากเหตุการณ์ของแม่ชีถนอม ที่พบว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเป็นต้นธาตุ ถูกสั่งลงมาเกิดเพื่อให้มาค้นวิชชาธรรมกายกลับมาใหม่ เมื่อท่านมรณภาพ ท่านยังไม่ได้กลับไปยังสถานที่เดิมที่ท่านมา แต่ยังปกครองดูแลอยู่ในนิพพาน (เครื่อง) ที่สร้างขึ้นระหว่างนิพพานกับภพ 3


ในคู่มือวิปัสสนาจารย์ การเข้าหากายธรรมต้นธาตุ จะต้องเดินดวงธรรม 6 ดวงจากกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียดของเรา พอจุดเล็กใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมที่ 6 ว่างออกไป เราจะเห็นดวงเครื่องเป็นดวงใสขนาดใหญ่มหึมา เราต้องส่งใจนิ่งไปกลางดวงเครื่อง จึงเห็นดวงธรรมของเครื่อง แล้วเดินดวงธรรมของเครื่องไปอีก 6 ดวง จึงจะเห็นกายธรรมต้นธาตุ


คุณลุงต้องการลัดขั้นตอนนี้ จึงสั่งวิชชาไว้ให้เรา จากกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียดเดินดวงธรรม 6 ดวง เข้าหากายธรรมต้นธาตุได้เลย โดยไม่ต้องผ่านดวงเครื่อง จึงฝากเป็นความรู้ไว้ว่าทำไมไม่เหมือนตำรา


วิชาอาราธนาพระพุทธเจ้าคุมธรรม


มีอยู่ในคู่มือวิปัสสนาจารย์ จะเห็นว่ามีความซับซ้อน ละเอียดละออยิ่งนัก เราเดินวิชชานี้ก่อนจะไปสอน 18 กาย แต่ในระยะหลัง วิทยากรเอกอาจเดินวิชานี้เพื่อไปสอนนักเรียนประจำวัน แค่ให้เห็นดวงธรรม และกายธรรม 1-4 กาย เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการสอนในตำรานั้นไม่ถูก แต่คุณลุงบอกว่าไม่ใช่ไม่ถูก แต่มันดูยากไป ให้เอาอย่างนี้ละกัน คือ ....


เมื่อทำตามลุงแล้ว นอกจากจะง่ายขึ้น ก็ยังได้ผลงานสอนเป็นที่อัศจรรย์อีกด้วย


ตำรา คือ ปิฎก


เมื่อไหร่ก็ตามที่มันออกมาเป็นตำรา และผ่านตาครูบาอาจารย์แล้ว บางทีมันจะกลายเป็นปิฎกที่ยากแก่การแก้ไข จึงต้องระมัดระวังให้ดี แต่การมีตำรามีข้อดีคือ สามารถใช้อ้างอิง ยุติความขัดแย้งได้ ถึงกระนั้นผู้ใกล้ชิดกับตำราต้องรอบคอบ และระลึกเสมอว่าตำราเหล่านี้จะต้องตกทอดไปสู่คนรุ่นหลังอีกไม่รู้กี่รุ่น


รูปประกอบคำบรรยายเรื่องธาตุ 6 ตกเลข 6 ไปหนึ่งตัว


อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผมอยากยกมาแลกเปลี่ยน

หลายท่านคงสงสัยภาพธาตุ 6 ตั้งแต่ยุคหลวงพ่อวัดปากน้ำว่าทำไมเนื้อหาว่ามี 6 ธาตุ แต่รูปประกอบเขียนเลขไว้เพียง 5 ตัว คือ 1 ถึง 5 เท่านั้น (๑ ถึง ๕ เลขไทย) เพราะมันยังมีธาตุที่ 6 ซึ่งอยู่กลางดวงอากาศธาตุไม่ได้เขียนเลขกำกับไว้


ผมเคยได้ยินจากครูบาอาจารย์เก่าๆ ว่ามันเกิดการตกหล่นในระหว่างการเรียงพิมพ์ในยุคนั้น เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านดูแล้ว ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านอาจไม่ทันเห็นก็ได้ แต่เมื่อมีคนมาเห็นในภายหลังก็ไม่กล้าแก้ไข เพราะถือว่าผ่านตาหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว หากแก้ไขเองโดยพลการก็โดน เซฟ


ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นไร ภาพที่ตกหล่นนั้นก็ส่งต่อมาถึงยุคสมัยนี้ และมีผู้คนมากมายเกิดความสงสัยดังกล่าวข้างต้น ผมขอทิ้งเป็นข้อมูลไว้ เพราะถึงอย่างไรผมก็เป็นนายแพทย์ที่ผ่านการเรียนรู้แบบเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์มาตลอดชีวิต ใจผมไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ดังกล่าวนัก


วิชชาง่ายๆ แต่หากครูไม่สั่งก็ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์


อันนี้ผมเขียนจากความรู้สึกส่วนตัว คือเราก็รู้วิธีทำวิชชาอยู่แล้ว แต่มันยังเกิดผลไม่ถนัดใจ ต่อเมื่อครูอาจารย์หรือผู้ใหญ่ในวิชชาสั่งให้ทำ จะได้น้ำได้เนื้อขึ้นมาทันที สังเกตกันดูนะครับ


บูชาครู


สุดท้ายผมรู้สึกยินดีสำหรับผู้ที่มีโอกาสและจังหวะชีวิตที่ได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ได้ปรนนิบัติท่าน เห็นจำคิดรู้ของท่านศักดิ์สิทธิ์ ท่านนึกถึงเราก็เป็นมงคลแก่เรา แต่การบูชาครูก็อย่าลืมเน้นเรื่องปฏิบัติบูชา รวมถึงการดูแลรักษาวิชชาที่ครูบาอาจารย์อุตส่าห์แลกมาด้วยชีวิตกว่าจะค้นคว้ามาได้ อย่าให้วิชชา เพี้ยน เฝือ เรื้อรัง ไปในยุคเรา


เนื้อหาของวันนี้ยังมีอีกมาก แต่ขอจบไว้เท่านี้ก่อนครับ

Tuesday, December 7, 2010

ทำไมไม่ทำสมาธิซะเลยล่ะ?

วันนี้คุยเรื่องเบาๆ

เมื่อซัก 20 ปีก่อน ผมได้เห็นเครื่องมือชิ้นหนึ่ง มีลักษณะเป็นแว่นตาที่มีไฟกระพริบ และมีหูฟังแบบ ear muff ครอบหู เครื่องมือชนิดนี้ส่งแสงและเสียงออกมาในระดับต่างๆ โดยมีผลการทดลองที่พบว่ามันสามารถกระตุ้นคลื่นสมองของผู้ที่ใช้มันได้ โดยจะทำให้เกิดเป็นรูปแบบใดก็แล้วแต่เรา เพราะมีคลื่นสมองให้เลือกตั้งแต่ คลื่นอัลฟ่า เบต้า ทีต้า และเดลต้า เช่นหากเราอยากตื่นตัวเพื่อทำงาน ก็ปรับเครื่องให้กระตุ้นคลื่นสมองให้เป็น อัลฟ่า หรือเบต้า ถ้าอยากพักสงบๆ ก็ทีต้า แต่ถ้าอยากดำดิ่งสู่ห้วงของสมาธิ ก็ปรับไปที่เดลต้า

ที่สำคัญเครื่องมือชิ้นนี้ มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับค่าเงินในยุคนั้น ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะประมาณหนึ่งถึงสองหมื่นบาท

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเราก็คือ คลื่นสมองแบบเดลต้านั่นเอง ในคู่มือของเครื่องบอกไว้ว่า จะพบคลื่นสมองแบบนี้ในคนที่ฝึกจิตจนมีสมาธิแก่กล้าแล้วเท่านั้น คนทั่วไปมักทำความสงบได้แค่คลื่นทีต้าปลายๆ แต่คลื่นเดลต้ามักพบในโยคีที่ฝึกจิตมานานเป็น 10 ปีขึ้นไป แต่เครื่องมือชิ้นนี้สามารถสร้างคลื่นสมองชนิดนี้ได้ภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ท่านจึงไม่ต้องใช้เวลาถึง 10 ปีในการฝึกจิต

มันมีอะไรทดแทนการฝึกสมาธิได้หรือ?

เหมือนผมอยากรู้ว่า มีเครื่องมืออะไรแทนการออกกำลังกายได้หรือไม่ โดยผมไม่ต้องเหนื่อยหรือเสียเวลาออกกำลังกายเอง?

ผมไม่อาจปฏิเสธได้เพราะในอนาคตข้างหน้า เราอาจสร้างเครื่องมือเหล่านี้ได้จริง และหากเป็นเช่นนั้นก็นับเป็นโชคดีของมนุษยชาติ

อย่างไรก็ตาม หากเราได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับการทำสมาธิมาพอสมควร เราจะพบว่า การฝึกสมาธิที่ถูกขั้นตอน และมีการวัดผลอย่างเป็นระบบ ทำให้เราไม่ต้องใช้เวลาฝึกถึง 10 ปีอย่างที่กล่าวมา แถมยังมีผลพลอยได้ไม่ว่าในทางกายหรือทางจิตใจอย่างมหาศาล

ผลทางกายยังแบ่งได้ เป็นผลต่อสุขภาพทางกายโดยตรง รวมถึงผลต่อสมองซึ่งรับหน้าที่ในด้านสติปัญญา โดยแบ่งเป็นความจำ การเรียนรู้ ระดับ IQ ฯลฯ

ส่วนผลทางจิตใจ แน่นอน สมาธิมีผลโดยตรงอย่างชัดเจน เพราะเป็นการฝึกกำลังทางใจจนใจแข็งแรง เกิดกำลังใจต่อผู้ฝึกอย่างมากมาย ทั้งนี้ยังไม่นับรวมถึงบางท่านที่อ้างว่าสามารถสร้างอภินิหารทางใจได้อีกด้วย ( อ้างอิงบทความในบล็อค 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7* , และอื่นๆ ที่แฝงอยู่ในบล็อคนี้อีกมาก)

เครื่องมือที่ผมกล่าวถึงข้างต้น อ้างอิงตัวชี้วัดเพียงตัวเดียวที่เกิดจากการทำสมาธิ คือคลื่นสมองเดลต้าเท่านั้น แต่เรายังไม่ได้วิจัยว่าการทำให้เกิดคลื่นสมองเดลต้านี้จะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจในแบบที่การทำสมาธิทำให้เกิด ได้หรือไม่ หรือแม้มันทำได้จริง มันก็อาจเป็นผลที่วัดได้ที่กายมนุษย์เท่านั้น มันคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ และมันสามารถทำให้ผู้เรียนเข้าถึงบทเรียนทางจิตในระดับที่สูงขึ้น(ความรู้ระดับปฏิเวธ) ได้หรือไม่ หรือมันจะมีผลข้างเคียงที่เรายังไม่รู้ ซึ่งอาจขัดขวางต่อการทำสมาธิเสียเองหรือไม่

ทั้งนี้ ความรู้ที่ได้จากภายในหลังจากเราเข้าถึงสมาธิที่ลุ่มลึกไปเรื่อยๆ นั้น ยังมีต่อไปอีกนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะหลักสูตรในพุทธศาสนาที่ไม่เคยถึงทางตัน คลื่นเดลต้าที่เกิดขึ้นตั้งแต่การเป็นสมาธิขั้นต้น ก็ไม่ได้บอกระดับของสมาธิในขั้นถัดๆ ไป

แล้วทำไมเราจึงไม่ทุ่มเท ศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติด้วยการทำสมาธิซะเลยล่ะ?