ภาคผู้เลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากเรื่องหนึ่งในวิชชาธรรมกาย
จนบัดนี้เรายังไม่กระจ่างในเรื่องภาคผู้เลี้ยง บทความในวันนี้
พยายามพูดถึงความรู้ที่พอจะรู้มาบ้าง
โดยนำมารวมไว้เพื่อให้เกิดความคิดต่อยอดเรื่องภาคผู้เลี้ยงต่อไป
อีกมุมมองหนึ่งของเป้าหมายของการสร้างบารมี มี 2 รูปแบบคือ การสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้า
กับการสร้างบารมีเป็นจักรพรรดิ์ หรือภาคผู้เลี้ยง ภาคผู้เลี้ยงจะสร้างบารมีในแบบฆราวาส
คอยดูแลผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง
และนั่นเป็นการสร้างบารมีของท่าน แต่แม้ท่านได้บรรลุมรรคผลแล้ว ก็ยังคอยดูแลผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป(นาย) รวมถึงตามไปดูแลพระพุทธเจ้าในนิพพาน
ตลอดลงมายังพวกเราที่อยู่ในภพ 3 หรือแม้ตกนรกหมกไหม้ ท่านก็เฝ้ารออยู่
และเก็บรักษาบารมีไว้ให้ การดูแลคือ สร้างภพ สร้างที่อยู่อาศัย ดูแลอาหารการกิน
ดูแลสมบัติ ดูแลความเป็นอยู่ ฯลฯ เรียกได้ว่าใครไม่เห็นคุณของจักรพรรดิ์ ผู้นั้นสมควรตายทีเดียว
ในยุคหลวงพ่อวัดปากน้ำเคยมีคำถามว่า
ระหว่างพระพุทธเจ้ากับจักรพรรดิ์ ใครมีบารมีมากกว่ากัน ผู้รู้หลายท่านตอบหลวงพ่อว่าพระพุทธเจ้ามีบารมีมากกว่า
แต่แม่ชีถนอมตอบว่าจักรพรรดิ์มีบารมีมากกว่า
ซึ่งเป็นคำตอบที่หลวงพ่อไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่ได้สรุปคำตอบไว้ว่า ถูกผิดอย่างไร
ภาคผู้เลี้ยงช่วยดูแลศาสนาในช่วงที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
เราจะพบความรู้ที่ว่าในพระพุทธรูปที่ประดิษฐานตามที่ต่างๆ
ภายในล้วนเป็นจักรพรรดิ์ทั้งสิ้น บางทีจำแนกว่าท่านดูแลทั้ง พุทธจักร ธรรมจักร สังฆจักร และอาณาจักร
ภาคผู้เลี้ยงมีชื่อเรียกได้หลายแบบ
มีทั้งอยู่ในกายเรา และนอกกายเรา หากเรียกว่า กายสิทธิ์ มักหมายถึงภาคผู้เลี้ยงที่ยังไม่ได้มรรคผล
หากได้มรรคผลแล้วจะเรียกว่าจักรพรรดิ์
ภาคผู้เลี้ยงในกายเรา คือผู้เลึ้ยงที่ได้มรรคผลแล้ว
ถูกจัดมาให้จากนิพพาน บางท่านมีครบ บางท่านไม่ครบ บางท่านไม่มี ต้องไปขอรัตนะ 7
ตอนเราเป็นธรรมกายแล้ว โดยขอจากนิพพานเจ้าของศาสนาในยุคนั้น และห้ามขอในช่วงเข้าพรรษา
ถือเป็นประเพณี
เดิมที
ภาคผู้เลี้ยงก็เป็นมนุษย์สร้างบารมีคู่ไปกับภาคพระ สมัยก่อนไม่ว่าภาคพระหรือภาคผู้เลี้ยง จะสร้างบารมีเข้านิพพานเป็น (สอุปาทิเสสนิพพาน) คือเข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ ต่อมาระบบมรรคผลนิพพานถูกยึดครองเปลี่ยนแปลงไป
ภาคพระต้องถอดกาย(มนุษย์) เข้านิพพานกายธรรม (อนุปาทิเสสนิพพาน) คือกายมนุษย์ต้องตาย
แล้วถอดอีก 17 กายเข้านิพพาน แต่ภาคผู้เลี้ยงยังไม่เปลี่ยนแปลงระบบมรรคผลนิพพาน ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเข้านิพพานไม่ทันในยุคนั้น
ต้องหาที่อยู่โดยหลบซ่อนอยู่ในวัตถุที่คงทน อันได้แก่หินรัตนชาติ เป็นส่วนใหญ่
แล้วคอยสร้างบารมีไปกับภาคพระเพื่อให้บารมีเต็มเกณฑ์ และเข้านิพพานได้
ดังนั้นระบบนิพพานของภาคผู้เลี้ยงจึงมีเพียงระบบเดียวคือนิพพานเป็น เท่านั้น
ภาคผู้เลี้ยงมีทั้งภาคขาวและภาคดำ
ปาฏิหาริย์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ล้วนเกิดจากภาคผู้เลี้ยงแทบทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น พระลอยน้ำได้ คตในผลไม้หรือในตัวสัตว์ แสงเสียงประหลาดๆ เป็นต้น
มีการจำแนกภาคผู้เลี้ยงไปหลายรูปแบบเช่น
จำแนกตามที่อยู่ คือ นอกกาย ในกาย หรือ นิพพาน และภพ 3 เช่น มนุษย์ ทิพย์
พรหม อรูปพรหม
จำแนกตามศักดิ์ คือ จุลจักร มหาจักร
บรมจักร อุดมบรมจักร
จำแนกตามหน้าที่ คือ รัตนะ 7 อันได้แก่ ช้างแก้ว
ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว จักรแก้ว แก้วมณี
มีความหลากหลายเรื่องเครื่องทรง ลักษณะ
รวมถึงการแต่งกายของภาคผู้เลี้ยงอยู่มาก ความแตกต่างกันในแต่ละรูปแบบ อาจหาอ่านได้ในตำรา
หรือไปดูเอาเองเมื่อเห็นวิชชาแล้ว
เมื่อเราดูภาคผู้เลี้ยงโดยเฉพาะในกายเรา แบบไม่เฉพาะเจาะจง
เราเห็นเป็นกายภาคผู้เลี้ยงกายเดียว กายนั้นรวมการจำแนกทุกอย่างที่กล่าวมา ซึ่งพิสดารไปตามแกน
X แกน Y ดังที่เคยกล่าวมาก่อนแล้ว
ในคู่มือสมภาร บทที่ 14
ให้ดูกายสิทธิ์ในดวงแก้ว บทที่ 15 เรื่องภาคผู้เลี้ยง สอนให้เดินวิชชา 6 ดวงธรรม 5
กาย ของภาคผู้เลี้ยง แต่ปัจจุบันถือว่าต้องเดินเป็น 18 กาย
ในตำราบอกไว้อีกว่าบทที่เหลือก็ควรเดินวิชชาให้จักรพรรดิ์ไปด้วย บางทีเราจะได้ยินบางท่านพูดว่า
คู่มือสมภารมี 30 บท ซึ่งจริงๆ ในหนังสือมีแค่ 15 บท แต่รวมการเดินวิชชาภาคผู้เลี้ยงด้วย
(คือ 15 บท X 2 = 30) เป็น 30 บท
ส่วนในคู่มือมรรคผลพิสดาร
มีการกล่าวถึงภาคผู้เลี้ยงไว้อีกมากมาย โดยเฉพาะการเอาภาคผู้เลี้ยงมาทำกายมนุษย์พิเศษ มีปรากฏหลายบทหลายตอนมาก
การบูชาจักรพรรดิ์ หรือภาคผู้เลี้ยง ให้บูชาด้วยดอกไม้หอม
ถือว่าเป็นอาหารของท่าน และควรอธิษฐานเรียกถวายภาคผู้เลี้ยงในกายเราด้วย
(ความรู้คุณลุง)
บทความตอนนี้คงครอบคลุมเนื้อหาได้ไม่หมด
เพราะเรื่องภาคผู้เลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่ มีความรู้ปรากฏอยู่หลายแห่ง
ที่กล่าวมานี้ถือว่าช่วยปูพื้นฐานไว้ก่อนนะครับ
การเดินวิชชา 18 กาย ของภาคผู้เลี้ยง ขอยกไปคราวหน้าครับ