Pages

Thursday, September 15, 2011

ภาคผู้เลี้ยง (1)


ภาคผู้เลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากเรื่องหนึ่งในวิชชาธรรมกาย จนบัดนี้เรายังไม่กระจ่างในเรื่องภาคผู้เลี้ยง บทความในวันนี้ พยายามพูดถึงความรู้ที่พอจะรู้มาบ้าง โดยนำมารวมไว้เพื่อให้เกิดความคิดต่อยอดเรื่องภาคผู้เลี้ยงต่อไป

อีกมุมมองหนึ่งของเป้าหมายของการสร้างบารมี มี 2 รูปแบบคือ การสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้า กับการสร้างบารมีเป็นจักรพรรดิ์ หรือภาคผู้เลี้ยง ภาคผู้เลี้ยงจะสร้างบารมีในแบบฆราวาส คอยดูแลผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง และนั่นเป็นการสร้างบารมีของท่าน แต่แม้ท่านได้บรรลุมรรคผลแล้ว ก็ยังคอยดูแลผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป(นาย) รวมถึงตามไปดูแลพระพุทธเจ้าในนิพพาน ตลอดลงมายังพวกเราที่อยู่ในภพ 3 หรือแม้ตกนรกหมกไหม้ ท่านก็เฝ้ารออยู่ และเก็บรักษาบารมีไว้ให้ การดูแลคือ สร้างภพ สร้างที่อยู่อาศัย ดูแลอาหารการกิน ดูแลสมบัติ ดูแลความเป็นอยู่ ฯลฯ เรียกได้ว่าใครไม่เห็นคุณของจักรพรรดิ์ ผู้นั้นสมควรตายทีเดียว

ในยุคหลวงพ่อวัดปากน้ำเคยมีคำถามว่า ระหว่างพระพุทธเจ้ากับจักรพรรดิ์ ใครมีบารมีมากกว่ากัน ผู้รู้หลายท่านตอบหลวงพ่อว่าพระพุทธเจ้ามีบารมีมากกว่า แต่แม่ชีถนอมตอบว่าจักรพรรดิ์มีบารมีมากกว่า ซึ่งเป็นคำตอบที่หลวงพ่อไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่ได้สรุปคำตอบไว้ว่า ถูกผิดอย่างไร

ภาคผู้เลี้ยงช่วยดูแลศาสนาในช่วงที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เราจะพบความรู้ที่ว่าในพระพุทธรูปที่ประดิษฐานตามที่ต่างๆ ภายในล้วนเป็นจักรพรรดิ์ทั้งสิ้น บางทีจำแนกว่าท่านดูแลทั้ง พุทธจักร ธรรมจักร สังฆจักร และอาณาจักร

ภาคผู้เลี้ยงมีชื่อเรียกได้หลายแบบ มีทั้งอยู่ในกายเรา และนอกกายเรา หากเรียกว่า กายสิทธิ์ มักหมายถึงภาคผู้เลี้ยงที่ยังไม่ได้มรรคผล หากได้มรรคผลแล้วจะเรียกว่าจักรพรรดิ์

ภาคผู้เลี้ยงในกายเรา คือผู้เลึ้ยงที่ได้มรรคผลแล้ว ถูกจัดมาให้จากนิพพาน บางท่านมีครบ บางท่านไม่ครบ บางท่านไม่มี ต้องไปขอรัตนะ 7 ตอนเราเป็นธรรมกายแล้ว โดยขอจากนิพพานเจ้าของศาสนาในยุคนั้น และห้ามขอในช่วงเข้าพรรษา ถือเป็นประเพณี

เดิมที ภาคผู้เลี้ยงก็เป็นมนุษย์สร้างบารมีคู่ไปกับภาคพระ สมัยก่อนไม่ว่าภาคพระหรือภาคผู้เลี้ยง จะสร้างบารมีเข้านิพพานเป็น (สอุปาทิเสสนิพพาน) คือเข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ ต่อมาระบบมรรคผลนิพพานถูกยึดครองเปลี่ยนแปลงไป ภาคพระต้องถอดกาย(มนุษย์) เข้านิพพานกายธรรม (อนุปาทิเสสนิพพาน) คือกายมนุษย์ต้องตาย แล้วถอดอีก 17 กายเข้านิพพาน แต่ภาคผู้เลี้ยงยังไม่เปลี่ยนแปลงระบบมรรคผลนิพพาน ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเข้านิพพานไม่ทันในยุคนั้น ต้องหาที่อยู่โดยหลบซ่อนอยู่ในวัตถุที่คงทน อันได้แก่หินรัตนชาติ เป็นส่วนใหญ่ แล้วคอยสร้างบารมีไปกับภาคพระเพื่อให้บารมีเต็มเกณฑ์ และเข้านิพพานได้ ดังนั้นระบบนิพพานของภาคผู้เลี้ยงจึงมีเพียงระบบเดียวคือนิพพานเป็น เท่านั้น

ภาคผู้เลี้ยงมีทั้งภาคขาวและภาคดำ ปาฏิหาริย์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ล้วนเกิดจากภาคผู้เลี้ยงแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พระลอยน้ำได้ คตในผลไม้หรือในตัวสัตว์ แสงเสียงประหลาดๆ เป็นต้น

มีการจำแนกภาคผู้เลี้ยงไปหลายรูปแบบเช่น
จำแนกตามที่อยู่ คือ นอกกาย ในกาย หรือ นิพพาน และภพ 3 เช่น มนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม
จำแนกตามศักดิ์ คือ จุลจักร มหาจักร บรมจักร อุดมบรมจักร
จำแนกตามหน้าที่ คือ รัตนะ 7 อันได้แก่ ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว จักรแก้ว แก้วมณี

มีความหลากหลายเรื่องเครื่องทรง ลักษณะ รวมถึงการแต่งกายของภาคผู้เลี้ยงอยู่มาก ความแตกต่างกันในแต่ละรูปแบบ อาจหาอ่านได้ในตำรา หรือไปดูเอาเองเมื่อเห็นวิชชาแล้ว

เมื่อเราดูภาคผู้เลี้ยงโดยเฉพาะในกายเรา แบบไม่เฉพาะเจาะจง เราเห็นเป็นกายภาคผู้เลี้ยงกายเดียว กายนั้นรวมการจำแนกทุกอย่างที่กล่าวมา ซึ่งพิสดารไปตามแกน X แกน Y ดังที่เคยกล่าวมาก่อนแล้ว

ในคู่มือสมภาร บทที่ 14 ให้ดูกายสิทธิ์ในดวงแก้ว บทที่ 15 เรื่องภาคผู้เลี้ยง สอนให้เดินวิชชา 6 ดวงธรรม 5 กาย ของภาคผู้เลี้ยง แต่ปัจจุบันถือว่าต้องเดินเป็น 18 กาย ในตำราบอกไว้อีกว่าบทที่เหลือก็ควรเดินวิชชาให้จักรพรรดิ์ไปด้วย บางทีเราจะได้ยินบางท่านพูดว่า คู่มือสมภารมี 30 บท ซึ่งจริงๆ ในหนังสือมีแค่ 15 บท แต่รวมการเดินวิชชาภาคผู้เลี้ยงด้วย (คือ 15 บท X 2 = 30) เป็น 30 บท

ส่วนในคู่มือมรรคผลพิสดาร มีการกล่าวถึงภาคผู้เลี้ยงไว้อีกมากมาย โดยเฉพาะการเอาภาคผู้เลี้ยงมาทำกายมนุษย์พิเศษ มีปรากฏหลายบทหลายตอนมาก

การบูชาจักรพรรดิ์ หรือภาคผู้เลี้ยง ให้บูชาด้วยดอกไม้หอม ถือว่าเป็นอาหารของท่าน และควรอธิษฐานเรียกถวายภาคผู้เลี้ยงในกายเราด้วย (ความรู้คุณลุง)

บทความตอนนี้คงครอบคลุมเนื้อหาได้ไม่หมด เพราะเรื่องภาคผู้เลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่ มีความรู้ปรากฏอยู่หลายแห่ง ที่กล่าวมานี้ถือว่าช่วยปูพื้นฐานไว้ก่อนนะครับ


การเดินวิชชา 18 กาย ของภาคผู้เลี้ยง ขอยกไปคราวหน้าครับ