หากเขียนเรื่องจักรพรรดิ์
แล้วไม่แทรกเรื่องปาฏิหาริย์บ้าง ก็ดูจะจืดชืดไปหน่อย เหมือนปรุงอาหารแล้วเอาแต่คุณค่าทางโภชนาการ
แต่ไม่เอารสชาติ เรื่องปาฏิหาริย์ของจักรพรรดิ์ มีปรากฏให้เห็นในที่ต่างๆ มากมาย
และเป็นที่หมายปองของผู้คนไม่ว่าระดับใด นับเป็นส่วนสำคัญในการดึงคนที่มากด้วยศรัทธาให้เข้ามาในหมู่คณะ
เวลาเราอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เราต้องยึดหลักความรู้ไว้ก่อน
สิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้ ไม่ต้องแสวงหา
ผมจะเล่าเฉพาะปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับผม
และหมู่คณะเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะมากความไป ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และคำนึงถึงหลักกาลามสูตรไว้ให้มาก
เรื่องที่ 1 จักรพรรดิ์ปรากฏเป็นกายมนุษย์ให้เห็น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณปี
พ.ศ.2539 ช่วงใดจำไม่ได้แล้ว ผมแปลกใจตัวเองที่ปกติเป็นคนจดบันทึกประจำวันตลอด
แต่เหตุการณ์ในวันนั้นผมค้นไม่เจอ คาดว่าคงตกหล่น ไม่ได้จดบันทึกไว้
มันเหมือนถูกลบออกไปจากความทรงจำ โชคดีที่มีผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยกันหลายคน
ช่วงที่เราเข้าสู่วิชชาธรรมกายมาระยะหนึ่ง
ยังไม่เจอคุณลุง เราก็เล่นกายสิทธิ์เหมือนกัน คือแสวงหารัตนชาติมาเก็บไว้เยอะแยะ
เพราะรู้ว่าภายในมีกายสิทธิ์ จะดลบันดาลเรื่องสมบัติคุณสมบัติให้เราได้
วันหนึ่ง พวกเราเอารถปิคอัพไปทำบุญที่วัดที่นับถือแนวทางของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
แถวๆ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ห่างชายแดนพม่าแค่ 1-2 กม. ทำบุญเสร็จก็ขับรถตามทางไปเรื่อยๆ
พวกเราคนหนึ่งเห็นแสงสว่างในไร่ข้างทางแห่งหนึ่ง มองไปก็เห็นหินขาวๆ
วางเรียงรายอยู่เกลื่อนกลาด จึงจอดรถลงไปดู มันเป็นป่าโล่งๆ
เหมือนถูกปรับพื้นที่ไว้ทำไร่อะไรสักอย่าง
พวกเราบางคนพบหินเขี้ยวหนุมานเป็นแท่งวางอยู่ก็หยิบเอามา รวมถึงหินอื่นๆ
ในบริเวณนั้นด้วย
แล้วเราก็มาเจอหินสีขาวก้อนใหญ่ บางส่วนขาวขุ่นๆ
บางส่วนออกใส พอมองลึกเข้าไปในเนื้อหินเห็นเป็นสีชมพู ก้อนใหญ่มากขนาดซัก 1 x 1 x 2 เมตร น่าจะได้ จมหน้าดินอยู่
ลองช่วยกันผลักดู ก็ไม่ขยับเขยื้อน คงหนักเป็นตัน ตอนแรกผมบอกว่าอย่าเอาไปเลย
ก้อนใหญ่ขนาดนี้จะเอาไปยังไง ถ้าจะเอา เราไปหาเครื่องมือที่ดีกว่านี้แล้วมาใหม่วันหลังดีกว่า
แต่ดูไปก็เสียดาย โดยความรู้สึกถ้าไม่เอาไปในวันนี้
วันหน้าคงหาสถานที่นี้ไม่เจอแน่ GPS ก็ยังไม่มีในยุคนั้น
เราหาเชือกขนาดใหญ่ในรถผูกหิน
แล้วใช้รถดึง หินขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมจะเข้าไปช่วยผลัก
ยังถูกพรรคพวกเอ็ดเอาว่าหมอระวัง ถ้าเชือกขาด มันจะสบัดมาฟาดเราเข้า เขาเคยเห็นคนโดนในเรือมาแล้ว
เราพยายามขยับหินก้อนนั้นอยู่นานประมาณ 1-2 ชม. ใจก็กลัวว่าเดี๋ยวเจ้าของไร่มาเจอเข้า
จะว่าเรามาขโมยอะไรในที่เขา
แล้วก็มีคนเดินมาจริงๆ ผมตกใจกลัวว่าโดนด่าแน่แล้ว
ตอนนั้นฟ้าเริ่มมืดครึ้ม คนๆ นั้นตัวใหญ่พอๆ กับพวกเรา เดินตรงเข้ามาหา แล้วถามเราว่าจะเอาไปทำไม
เราอ้อมแอ้มตอบว่าอยากเอาไปแกะพระครับ เขาพูดว่า แกะพระเหรอ เอาล่ะ เดี๋ยวข้าช่วย
เขาเอามือจับก้อนหิน พวกเรากรูกันเข้าไปช่วยยก รวมทั้งผมด้วย
หินหลุดออกจากแอ่งดินนั่น เรารีบยกมันลอยขึ้นใส่กระบะท้ายรถได้ทันที
ความรู้สึกผมงงๆ เพราะผมไม่รู้สึกว่ามันมีน้ำหนักเลย แต่เราไม่ทันคิด
มัวแต่ดีใจที่เอามันมาได้ ผมหันไปจะขอบคุณชาวไร่ที่มาช่วยเรา แหมพี่แรงดีเหลือเกิน
เราทำกันอยู่ตั้งนาน 5-6 คน ไม่ขยับเลย พอหันไป ชาวไร่คนนั้นหายไปแล้ว แถวนั้นเป็นที่โล่งๆ
จะเดินไปไหนจนลับตาเร็วอย่างนั้น ตอนนั้นพวกเราไม่มีใครถามถึงชาวไร่คนนั้นเลย
หินก้อนนั้นหนักมาก
เราขับรถออกจากบริเวณนั้นท่ามกลางฟ้าแล่บ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้าง
และฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก รถเรายวบตัวด้วยน้ำหนักของหิน แต่ก็ขับฝ่าออกมาจนถึงบ้าน
(แม่กลอง)
พวกเรานำหินก้อนนั้นตีรถไปเชียงรายในวันถัดๆ
มา เพื่อไปหาหลวงพี่ท่านหนึ่ง ให้ช่วยหาช่างแกะเป็นรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้ยินมาว่าตอนเอาลงจากรถก็ลำบากมากเพราะน้ำหนักของหิน หินก้อนใหญ่ขนาดนั้น แกะเป็นรูปหลวงพ่อได้หน้าตักแค่ 7 นิ้ว
เพราะภายในมีรอยแตกร้าวในตัวหินเอง และใจกลางบางส่วนก็กลายสภาพเป็นหินสีชมพูใสๆ
เศษที่เป็นเปลือกหุ้ม พวกเราหลายคนยังเก็บกันไว้ เนื้อส่วนที่ไม่มีรอยร้าว
จึงสามารถแกะพระได้เพียงองค์เดียว
สุดท้ายพวกเราเอาพระที่แกะเรียบร้อยแล้วมาให้ผม
ให้ผมช่วยทำบุญค่าแกะพระแก่หลวงพี่ ผมยินดีทำบุญไปเกินครึ่งหมื่นในยุคนั้น
และเก็บรักษาหินสีชมพูซึ่งแกะสลักเป็นรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำไว้จนวันนี้
แล้วเราก็มาอยู่กับคุณลุง ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2540
วันที่ 28 มี.ค. 2542 ผมจำได้เพราะหลังจากไปหาคุณลุง ผมก็ติดสติคเกอร์ลงวันที่ไว้ที่หินแกะนั้น วันนั้นผมเอาหินแกะสลักหลวงพ่อไปให้คุณลุงดู คุณลุงบอกว่า หินที่ออกมาเป็นสีนี้ ถือเป็นรัตนชาติแล้ว จักรพรรดิ์องค์นี้ท่านไว้ตัว ไม่เกรงกลัวใคร ท่านบอกว่าท่านมาอยู่ เพื่อมาคุมวิชชาให้หมอ ลุงบอกท่านว่าทำเป็นรูปหลวงพ่อ ต้องเก่งอย่างหลวงพ่อนะ ท่านบอกว่าถ้าไม่เก่งจะมาถึงนี่ได้อย่างไร
วันที่ 28 มี.ค. 2542 ผมจำได้เพราะหลังจากไปหาคุณลุง ผมก็ติดสติคเกอร์ลงวันที่ไว้ที่หินแกะนั้น วันนั้นผมเอาหินแกะสลักหลวงพ่อไปให้คุณลุงดู คุณลุงบอกว่า หินที่ออกมาเป็นสีนี้ ถือเป็นรัตนชาติแล้ว จักรพรรดิ์องค์นี้ท่านไว้ตัว ไม่เกรงกลัวใคร ท่านบอกว่าท่านมาอยู่ เพื่อมาคุมวิชชาให้หมอ ลุงบอกท่านว่าทำเป็นรูปหลวงพ่อ ต้องเก่งอย่างหลวงพ่อนะ ท่านบอกว่าถ้าไม่เก่งจะมาถึงนี่ได้อย่างไร
เหตุการณ์ผ่านมานานมาก
พวกเราก็สร้างบารมีสอนธรรมตามวิธีการของคุณลุงไปเรื่อยๆ
ประมาณกลางปี พ.ศ.2553 วิทยากรท่านหนึ่งที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ไปเอาหินในวันนั้น
ซึ่งท่านมีรู้ญาณพอสมควร มาคุยกับผมที่ร้าน ให้ผมทบทวนเรื่องราวในวันนั้นอีกครั้ง
ว่าชายชาวไร่ที่มาช่วยพวกเราเป็นใคร พวกเราจึงฉุกคิดได้ว่าเราลืมชาวไร่คนนั้นเสียสนิท
วิทยากรบอกผมว่า เขาไม่ใช่คน เขายังอยู่กับหมอ หมอสังเกตดู ในวันนั้น ตาเขามีสีเขียวๆ
ไม่มีแววตา สีผิวของเขาออกคล้ำๆ จนดูเขียว ไม่มีเหงื่อ ตอนมาฟ้าฝนวิปริต แล้วหายไปโดยไม่มีร่องรอย แถมหินหนักขนาดนั้น
มีเขาเพิ่มมาแค่คนเดียว ทำไมยกได้ปลิวอย่างนั้น ตอนนี้เขามาบอกหนูว่าเขาอยากให้เอาเขามาวางในห้องที่พวกเราประชุมนั่งสมาธิกันทุกสัปดาห์
เขาอยากมาร่วมด้วย เพราะผมเก็บเขาไว้ในห้องชั้นบน สุดท้ายผมก็ยกท่านลงมาในห้องประชุม
ผมถ่ายรูปเศษหิน(รัตนชาติ)
ที่เป็นส่วนเปลือกบางส่วน มาให้ดู มีเหลือบสีชมพูให้เห็นบ้าง
ฟังหูไว้หูนะครับ