เรื่องที่ 2 จะให้ท่านทำความสำเร็จให้ ก็ “เดินวิชชาเข้าสิ”
จากเรื่องที่ 1 จะเห็นว่าจักรพรรดิ์อาจแสดงฤทธิ์ได้หลายรูปแบบ
แต่ไม่ได้มีความตายตัวจากความคาดหวังของเรา ดังเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
ผมออกมาปลูกบ้านส่วนตัวห่างจากตัวเมืองไม่มาก
มีห้องประชุมวิทยากรภายในบ้านพอจุคนได้สิบกว่าคน
เราได้ใช้บ้านหลังนี้ประชุมวิทยากรมาทุกสัปดาห์แทบไม่เคยขาด
ผมเชื่อว่าที่นี่มีจักรพรรดิ์ดูแล
คราวหนึ่งเพื่อนบ้านปรับปรุงบ้านของเขา
และตัดต้นไม้ในบ้านเขาเองเอามาเผาถ่านหน้าบ้านเยื้องมาทางบ้านเรา
ส่งควันและกลิ่นเหม็นคละคลุ้งทั่วบริเวณตลอด 24 ชม. แค่เผาขยะแล้วดับก็เหม็นจะแย่อยู่แล้ว
นี่เป็นการเผาถ่านซึ่งต้องจุดเตาเผาเลี้ยงไฟไว้ตลอดเวลา ผมกลับมาบ้านทีไร แทบจะอยู่นอกตัวบ้านไม่ได้ อากาศบริสุทธิ์นอกเมืองหายไปเลย
นานเข้า 2-3 วันก็ยังเผากันไม่หมด
ด้วยความอารมณ์เสียก็พลอยนึกตำหนิจักรพรรดิ์ในบ้านว่าทำไมท่านไม่ทำปาฏิหาริย์ ไปเตือนเพื่อนบ้านเราบ้างว่าทำอย่างนี้เป็นการเบียดเบียนเรา
เพราะเราเคยได้ยินมาเสมอถึงอานุภาพของใครบางคนที่ใครก็ตามไปล่วงเกินท่านแล้วต้องมีอันเป็นไป
ทำไมเราไม่ศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นบ้าง
ผมโชคดีที่มีกัลยาณมิตร
วิทยากรของผมหลายท่านมีรู้มีญาณมาบอกผมที่ร้านว่า จักรพรรดิ์ที่บ้านหมอท่านมาบอกว่า
ฮึ เที่ยวนี้ทำไม่ถูกใจนาย แต่จะให้ท่านออกมาแสดงฤทธิ์ในทันทีแบบนั้น
ท่านทำไม่ได้เหมือนที่ภาคมารทำ หากจะให้เกิดความสำเร็จใดใด ก็ “เดินวิชชาเข้าสิ”
ผมได้ยินดังนั้นจึงได้คิด
ภายหลังต้องกล่าวอุจจโยโทษแก่ท่านทุกวัน
และขอให้บทความนี้เป็นการกล่าวอุจจโยโทษต่อท่านอีกครั้ง
ผมนั่งสมาธิเอาท่านมาช่วยทำวิชชาพรหมวิหารในตัวเพื่อนบ้านทันที แค่ข้ามคืน
เตาเผาถูกดับลง เพื่อนบ้านมาบอกแก่วิทยากรผมซึ่งผมให้มาช่วยดูแลบ้านเป็นประจำ เองว่า
จะย้ายที่เผาถ่านไปที่อื่น เขามีที่ใหม่จะไปเผาแล้ว จากนั้นเขาก็ทะยอยขนไม้ที่เหลือออกไปจนหมด
เหตุการณ์คลายตัวโดยที่ไม่ต้องเอากายมนุษย์ไปพูดจาให้ขุ่นเคืองกัน
จริงๆ แล้ว
ผมไม่อยากให้วิทยากรยึดถือรู้ญาณเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เพราะเหตุการณ์แบบนี้
ถ้าเราอยู่กับวิชชา เราก็ต้องแก้ไขทางวิชชามาตั้งแต่แรก
ไม่ใช่มาแก้ไขเพราะได้ยินจักรพรรดิ์ท่านมาเตือน งานนี้ผงเข้าตาตัวเอง และเป็นข้อคิดสำหรับผมเองและผู้มาเรียนรู้วิชชาได้ตามสมควร