Pages

Tuesday, December 14, 2010

ปิฎกของครูบาอาจารย์

วันนี้ติดอภินิหารหน่อย เป็นเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของครูบาอาจารย์สายวิชาธรรมกายในอีกมุมมองหนึ่ง นั่นเอง


ผมเคยพูดถึง ความเชื่อของพุทธศาสนิกชน มาแล้ว มีอยู่ส่วนหนึ่งที่มีความเฃื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสายธรรมกายก็มีความเชื่อเอนเอียงมาทางนี้เป็นหลักใหญ่


ความรู้ในวิชชาก่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเราศึกษามากขึ้น จะพบว่าแม้เป็นความรู้เดียวกัน แต่ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เท่ากัน นี่จึงเป็นความแตกต่างในวิชชาธรรมกาย ที่ทำให้ต้องมีความรู้เพิ่มเติมว่าวิชชานี้ มีเจ้าของวิชชา และการทำความศักดิ์สิทธิ์ ต้องให้เจ้าของวิชชาเป็นผู้อนุญาต อีกส่วนหนึ่งคือบารมีที่เราสร้างสะสมมากขึ้นในทุกๆ วันด้วย


ใครเป็นเจ้าของวิชชาธรรมกาย?


คำถามนี้เป็นคำถามในบทเรียนคู่มือมรรคผลพิสดารภาค 2 คำตอบคือ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของวิชชาธรรมกาย หากเจ้าของวิชชาไว้วางใจใคร ก็จะมอบความศักดิ์สิทธิ์ไว้กับผู้นั้น ครูบาอาจารย์แต่ละยุคจึงมีความศักดิ์สิทธิ์กันเป็นรุ่นๆ รวมถึงการทำวิชชาของครูอาจารย์ในแต่ละเหตุการณ์ ก็ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์เฉพาะอย่างด้วยเช่นกัน


การศึกษาวิชชาธรรมกายจึงต้องศึกษาเหตุการณ์ประกอบในแต่ละยุคด้วย


คำว่า สัมมาอะระหัง


ผู้ใดท่องคำว่า สัมมาอะระหัง พระพุทธเจ้าจรดกระหม่อมผู้นั้นทันที อันนี้ผมได้ยินมาว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านไปตกลงกับพระพุทธเจ้าไว้


ส่วนที่เรามาบรรยายความหมายต่างๆ ตามตัวหนังสือ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


การเข้าหากายธรรมต้นธาตุ


อันนี้เป็นความรู้จากเหตุการณ์ของแม่ชีถนอม ที่พบว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเป็นต้นธาตุ ถูกสั่งลงมาเกิดเพื่อให้มาค้นวิชชาธรรมกายกลับมาใหม่ เมื่อท่านมรณภาพ ท่านยังไม่ได้กลับไปยังสถานที่เดิมที่ท่านมา แต่ยังปกครองดูแลอยู่ในนิพพาน (เครื่อง) ที่สร้างขึ้นระหว่างนิพพานกับภพ 3


ในคู่มือวิปัสสนาจารย์ การเข้าหากายธรรมต้นธาตุ จะต้องเดินดวงธรรม 6 ดวงจากกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียดของเรา พอจุดเล็กใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมที่ 6 ว่างออกไป เราจะเห็นดวงเครื่องเป็นดวงใสขนาดใหญ่มหึมา เราต้องส่งใจนิ่งไปกลางดวงเครื่อง จึงเห็นดวงธรรมของเครื่อง แล้วเดินดวงธรรมของเครื่องไปอีก 6 ดวง จึงจะเห็นกายธรรมต้นธาตุ


คุณลุงต้องการลัดขั้นตอนนี้ จึงสั่งวิชชาไว้ให้เรา จากกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียดเดินดวงธรรม 6 ดวง เข้าหากายธรรมต้นธาตุได้เลย โดยไม่ต้องผ่านดวงเครื่อง จึงฝากเป็นความรู้ไว้ว่าทำไมไม่เหมือนตำรา


วิชาอาราธนาพระพุทธเจ้าคุมธรรม


มีอยู่ในคู่มือวิปัสสนาจารย์ จะเห็นว่ามีความซับซ้อน ละเอียดละออยิ่งนัก เราเดินวิชชานี้ก่อนจะไปสอน 18 กาย แต่ในระยะหลัง วิทยากรเอกอาจเดินวิชานี้เพื่อไปสอนนักเรียนประจำวัน แค่ให้เห็นดวงธรรม และกายธรรม 1-4 กาย เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการสอนในตำรานั้นไม่ถูก แต่คุณลุงบอกว่าไม่ใช่ไม่ถูก แต่มันดูยากไป ให้เอาอย่างนี้ละกัน คือ ....


เมื่อทำตามลุงแล้ว นอกจากจะง่ายขึ้น ก็ยังได้ผลงานสอนเป็นที่อัศจรรย์อีกด้วย


ตำรา คือ ปิฎก


เมื่อไหร่ก็ตามที่มันออกมาเป็นตำรา และผ่านตาครูบาอาจารย์แล้ว บางทีมันจะกลายเป็นปิฎกที่ยากแก่การแก้ไข จึงต้องระมัดระวังให้ดี แต่การมีตำรามีข้อดีคือ สามารถใช้อ้างอิง ยุติความขัดแย้งได้ ถึงกระนั้นผู้ใกล้ชิดกับตำราต้องรอบคอบ และระลึกเสมอว่าตำราเหล่านี้จะต้องตกทอดไปสู่คนรุ่นหลังอีกไม่รู้กี่รุ่น


รูปประกอบคำบรรยายเรื่องธาตุ 6 ตกเลข 6 ไปหนึ่งตัว


อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผมอยากยกมาแลกเปลี่ยน

หลายท่านคงสงสัยภาพธาตุ 6 ตั้งแต่ยุคหลวงพ่อวัดปากน้ำว่าทำไมเนื้อหาว่ามี 6 ธาตุ แต่รูปประกอบเขียนเลขไว้เพียง 5 ตัว คือ 1 ถึง 5 เท่านั้น (๑ ถึง ๕ เลขไทย) เพราะมันยังมีธาตุที่ 6 ซึ่งอยู่กลางดวงอากาศธาตุไม่ได้เขียนเลขกำกับไว้


ผมเคยได้ยินจากครูบาอาจารย์เก่าๆ ว่ามันเกิดการตกหล่นในระหว่างการเรียงพิมพ์ในยุคนั้น เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านดูแล้ว ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านอาจไม่ทันเห็นก็ได้ แต่เมื่อมีคนมาเห็นในภายหลังก็ไม่กล้าแก้ไข เพราะถือว่าผ่านตาหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว หากแก้ไขเองโดยพลการก็โดน เซฟ


ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นไร ภาพที่ตกหล่นนั้นก็ส่งต่อมาถึงยุคสมัยนี้ และมีผู้คนมากมายเกิดความสงสัยดังกล่าวข้างต้น ผมขอทิ้งเป็นข้อมูลไว้ เพราะถึงอย่างไรผมก็เป็นนายแพทย์ที่ผ่านการเรียนรู้แบบเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์มาตลอดชีวิต ใจผมไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ดังกล่าวนัก


วิชชาง่ายๆ แต่หากครูไม่สั่งก็ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์


อันนี้ผมเขียนจากความรู้สึกส่วนตัว คือเราก็รู้วิธีทำวิชชาอยู่แล้ว แต่มันยังเกิดผลไม่ถนัดใจ ต่อเมื่อครูอาจารย์หรือผู้ใหญ่ในวิชชาสั่งให้ทำ จะได้น้ำได้เนื้อขึ้นมาทันที สังเกตกันดูนะครับ


บูชาครู


สุดท้ายผมรู้สึกยินดีสำหรับผู้ที่มีโอกาสและจังหวะชีวิตที่ได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ได้ปรนนิบัติท่าน เห็นจำคิดรู้ของท่านศักดิ์สิทธิ์ ท่านนึกถึงเราก็เป็นมงคลแก่เรา แต่การบูชาครูก็อย่าลืมเน้นเรื่องปฏิบัติบูชา รวมถึงการดูแลรักษาวิชชาที่ครูบาอาจารย์อุตส่าห์แลกมาด้วยชีวิตกว่าจะค้นคว้ามาได้ อย่าให้วิชชา เพี้ยน เฝือ เรื้อรัง ไปในยุคเรา


เนื้อหาของวันนี้ยังมีอีกมาก แต่ขอจบไว้เท่านี้ก่อนครับ

Tuesday, December 7, 2010

ทำไมไม่ทำสมาธิซะเลยล่ะ?

วันนี้คุยเรื่องเบาๆ

เมื่อซัก 20 ปีก่อน ผมได้เห็นเครื่องมือชิ้นหนึ่ง มีลักษณะเป็นแว่นตาที่มีไฟกระพริบ และมีหูฟังแบบ ear muff ครอบหู เครื่องมือชนิดนี้ส่งแสงและเสียงออกมาในระดับต่างๆ โดยมีผลการทดลองที่พบว่ามันสามารถกระตุ้นคลื่นสมองของผู้ที่ใช้มันได้ โดยจะทำให้เกิดเป็นรูปแบบใดก็แล้วแต่เรา เพราะมีคลื่นสมองให้เลือกตั้งแต่ คลื่นอัลฟ่า เบต้า ทีต้า และเดลต้า เช่นหากเราอยากตื่นตัวเพื่อทำงาน ก็ปรับเครื่องให้กระตุ้นคลื่นสมองให้เป็น อัลฟ่า หรือเบต้า ถ้าอยากพักสงบๆ ก็ทีต้า แต่ถ้าอยากดำดิ่งสู่ห้วงของสมาธิ ก็ปรับไปที่เดลต้า

ที่สำคัญเครื่องมือชิ้นนี้ มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับค่าเงินในยุคนั้น ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะประมาณหนึ่งถึงสองหมื่นบาท

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเราก็คือ คลื่นสมองแบบเดลต้านั่นเอง ในคู่มือของเครื่องบอกไว้ว่า จะพบคลื่นสมองแบบนี้ในคนที่ฝึกจิตจนมีสมาธิแก่กล้าแล้วเท่านั้น คนทั่วไปมักทำความสงบได้แค่คลื่นทีต้าปลายๆ แต่คลื่นเดลต้ามักพบในโยคีที่ฝึกจิตมานานเป็น 10 ปีขึ้นไป แต่เครื่องมือชิ้นนี้สามารถสร้างคลื่นสมองชนิดนี้ได้ภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ท่านจึงไม่ต้องใช้เวลาถึง 10 ปีในการฝึกจิต

มันมีอะไรทดแทนการฝึกสมาธิได้หรือ?

เหมือนผมอยากรู้ว่า มีเครื่องมืออะไรแทนการออกกำลังกายได้หรือไม่ โดยผมไม่ต้องเหนื่อยหรือเสียเวลาออกกำลังกายเอง?

ผมไม่อาจปฏิเสธได้เพราะในอนาคตข้างหน้า เราอาจสร้างเครื่องมือเหล่านี้ได้จริง และหากเป็นเช่นนั้นก็นับเป็นโชคดีของมนุษยชาติ

อย่างไรก็ตาม หากเราได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับการทำสมาธิมาพอสมควร เราจะพบว่า การฝึกสมาธิที่ถูกขั้นตอน และมีการวัดผลอย่างเป็นระบบ ทำให้เราไม่ต้องใช้เวลาฝึกถึง 10 ปีอย่างที่กล่าวมา แถมยังมีผลพลอยได้ไม่ว่าในทางกายหรือทางจิตใจอย่างมหาศาล

ผลทางกายยังแบ่งได้ เป็นผลต่อสุขภาพทางกายโดยตรง รวมถึงผลต่อสมองซึ่งรับหน้าที่ในด้านสติปัญญา โดยแบ่งเป็นความจำ การเรียนรู้ ระดับ IQ ฯลฯ

ส่วนผลทางจิตใจ แน่นอน สมาธิมีผลโดยตรงอย่างชัดเจน เพราะเป็นการฝึกกำลังทางใจจนใจแข็งแรง เกิดกำลังใจต่อผู้ฝึกอย่างมากมาย ทั้งนี้ยังไม่นับรวมถึงบางท่านที่อ้างว่าสามารถสร้างอภินิหารทางใจได้อีกด้วย ( อ้างอิงบทความในบล็อค 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7* , และอื่นๆ ที่แฝงอยู่ในบล็อคนี้อีกมาก)

เครื่องมือที่ผมกล่าวถึงข้างต้น อ้างอิงตัวชี้วัดเพียงตัวเดียวที่เกิดจากการทำสมาธิ คือคลื่นสมองเดลต้าเท่านั้น แต่เรายังไม่ได้วิจัยว่าการทำให้เกิดคลื่นสมองเดลต้านี้จะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจในแบบที่การทำสมาธิทำให้เกิด ได้หรือไม่ หรือแม้มันทำได้จริง มันก็อาจเป็นผลที่วัดได้ที่กายมนุษย์เท่านั้น มันคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ และมันสามารถทำให้ผู้เรียนเข้าถึงบทเรียนทางจิตในระดับที่สูงขึ้น(ความรู้ระดับปฏิเวธ) ได้หรือไม่ หรือมันจะมีผลข้างเคียงที่เรายังไม่รู้ ซึ่งอาจขัดขวางต่อการทำสมาธิเสียเองหรือไม่

ทั้งนี้ ความรู้ที่ได้จากภายในหลังจากเราเข้าถึงสมาธิที่ลุ่มลึกไปเรื่อยๆ นั้น ยังมีต่อไปอีกนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะหลักสูตรในพุทธศาสนาที่ไม่เคยถึงทางตัน คลื่นเดลต้าที่เกิดขึ้นตั้งแต่การเป็นสมาธิขั้นต้น ก็ไม่ได้บอกระดับของสมาธิในขั้นถัดๆ ไป

แล้วทำไมเราจึงไม่ทุ่มเท ศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติด้วยการทำสมาธิซะเลยล่ะ?

Monday, November 15, 2010

สามัญสำนึกในการท่องสอบวิปัสสนาจารย์

การสอบวิปัสสนาจารย์ หรือการสอบอุปัชฌาย์ เป็นกิจกรรมสำคัญของกลุ่มผู้ศึกษาวิชชาธรรมกายในสายของคุณลุง หลักง่ายๆ ก็คือการท่องบทบอกวิชชาธรรมกายเพื่อให้จำได้คล่องปากและนำไปสอนผู้เรียนในโอกาสต่างๆ ผมได้เห็นการสอบมาหลายครั้ง เพราะอยู่มานาน จึงเห็นข้อโต้แย้ง ที่อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ อยากนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้

ให้ท่านทั้งหลาย ทบทวนเรื่องการกู้ยืมบารมีประกอบด้วยนะครับ ผมจะไม่กล่าวรายละเอียดซ้ำ

การท่องวิชชา ขอให้ทำใจเสมือนว่าเรากำลังบอกวิชชาแก่คนที่ยังไม่รู้จักวิชชาเลย ให้เขาสามารถทำใจตามบทที่เราบอกได้แม้กำลังหลับตาก็ทำตามได้โดยตลอดรอดฝั่ง ตั้งแต่การเดินฐาน 7 ฐาน การเดินวิชชาอนุโลม 18 กาย การเข้าหาต้นธาตุ การเข้าหาพระนิพพาน การปฏิโลมกาย 18 กายกลับจากนิพพาน จนรวมธาตุรวมธรรมขึ้นและจบ อย่าไปคิดว่าเป็นการท่องจำเหมือนท่องอาขยาน แบบนกแก้วนกขุนทอง

การหาบทท่องสอบ ผมเห็นว่ามีบทท่องสอบออกมาหลายรุ่น มีทั้งเป็นชีตกระดาษ A4 จนกระทั่งเป็นหนังสือ หนังสือที่สำคัญและน่าจะถือเป็นบรรทัดฐานคือ ทางรอดของมนุษย์ เพราะความเป็นหนังสือย่อมเอาไว้ใช้อ้างอิงได้ แต่การท่องด้วยชีตก็มีความสะดวกพกพาไปท่องได้ง่าย แต่ชีต บางทีก็มีรายละเอียดที่ต่างกันไปในแต่ละรุ่น ซึ่งไม่ได้ผิดเพี้ยนอะไร แต่อาจต่างกันที่ถ้อยคำบ้างตามยุคสมัย

ผมเคยเห็นชีตมาหลายรุ่น เมื่ออ่านดูแล้ว ด้วยสายตาของผู้ที่เคยสอบมาก่อน หรือผู้ที่สอนคนมาบ้างแล้ว ก็ไม่พบความผิดพลาดอะไร ดูแล้วก็ใช้ได้หมด

แต่มาระยะหลัง กลับพบความสับสนของผู้ท่องสอบบ่อยครั้ง จึงอยากแบ่งปันไว้ ณ ที่นี้ เช่น

การบอก 7 ฐาน การบอกวิชชาอนุโลม 18 กาย การเข้าหากายธรรมต้นธาตุ การเข้าพระนิพพาน ดูจะไม่มีปัญหาอะไร

แต่พอถึงตอนปฏิโลมกายกลับจากนิพพาน ชีตบางรุ่นก็ไล่กายมาตั้งแต่ กายธรรมพระอรหัตต์ละเอียด(เริ่มนับเป็นกายที่ 1) กายธรรมพระอรหัตต์หยาบ กายธรรมพระอนาคามีละเอียด ไล่เรื่อยมาจนถึงกายที่ 17 คือ กายมนุษย์ละเอียด หรือกายฝัน จากนั้นในชีตเขียนต่อเป็น ดวงธรรมของกายมนุษย์(หยาบ) คือไม่ได้เขียนว่า กายมนุษย์(หยาบ)

ผมอ่านตอนนี้ ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะคิดว่าการมาถึงดวงธรรมของกายมนุษย์(หยาบ)ย่อมต้องเห็นกายมนุษย์(หยาบ)ก่อน เป็นปกติวิสัยที่เป็นสามัญสำนึก แล้วจึงเดินใจ 7 ฐานมาที่ดวงธรรมของกายมนุษย์(หยาบ)นั่นเอง

แต่ผู้ท่องสอบใหม่บางท่านเข้าใจว่า จบกายฝัน เดินดวงธรรมของกายฝัน 6 5 4 3 2 1 แล้วนึกให้เกิด ดวงธรรมของกายมนุษย์(หยาบ)เลย โดยไม่ผ่านการเห็นกายมนุษย์(หยาบ) อันเป็นกายที่ 18 ในขาปฏิโลม ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด จึงอยากติงไว้ ณ ที่นี้ ว่าเราก็ต้องใช้สามัญสำนึกในการเดินวิชชาอยู่เหมือนกัน การเดินวิชชา 18 กาย มันจะเดินแค่ 17 กายได้อย่างไร หรือหากไล่ดวงธรรมของกายฝันกลับมา 6 5 4 3 2 1 แล้วเกิดอีกดวง(ของกายมนุษย์) ก็กลายเป็นดวงที่ 7 ขึ้นมา มันไม่กระดักกระเดิดหรือ

ผมไม่โทษผู้มาใหม่ แต่ผู้ที่ผ่านการสอบมาก่อนต้องเป็นพี่เลี้ยงให้รุ่นน้องๆ นะครับ เราต้องแม่นยำ ความเพี้ยนมันเกิดได้แม้เรื่องเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

เท่าที่อธิบายก็น่าจะพอเข้าใจได้ แต่หากจะอ้างอิงตำราก็อ่านดูในหนังสือ ทางรอดของมนุษย์ หน้า 147 ซึ่งมีการบรรยายลักษณะกายมนุษย์(หยาบ)ไว้ด้วยซ้ำ

อาจมีข้อโต้แย้งอีกจุดหนึ่งตอนรวมธาตุรวมธรรมในหน้า 147 นี้ และในหน้า 155 ตอนที่นึกให้จุดเล็กใสเท่าปลายเข็มกลางดวงธรรมของกายมนุษย์หยาบว่างออกไป เห็น กายธรรมพระอรหัตต์ละเอียด ... ซึ่งแต่เดิมเรานึกให้เห็น กายธรรมพระอรหัตต์ เฉยๆ ไม่มีหยาบไม่มีละเอียด อันนี้มีวิปัสสนาจารย์ไปถามคุณลุงแล้ว ได้รับคำตอบว่าใช้ได้ทั้ง 2 อย่าง ผมก็ขอนำมากล่าวไว้ตรงนี้ด้วยเพื่อไม่ให้สับสน คือครูอาจารย์ได้รับทราบตรงนี้แล้ว แต่ท่านอย่าสับสนกับกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียดในตอนเดิน 18 กายนะครับ มันคนละส่วนกัน

Friday, November 12, 2010

การสร้างบารมี กับความสับสนเรื่องตัวชี้วัด

เมื่อเราพูดถึงการสร้างบารมี เราคงไม่ต้องท้าวความถึงการทำคุณงามความดีทั่วๆ ไป เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขแล้วนะครับ นักสร้างบารมีจะมุ่งหวังไกลขึ้นไปอีก คิดไปถึงขั้นของมรรคผลนิพพาน ซึ่งอาจไปถึงการเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าทีเดียว ตรงกับหลักสมัยใหม่คือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก นั่นเอง

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เราพบว่าการทำบารมีส่วนตนของเรา เป็นการทำเพื่อตัวเราเองทั้งสิ้น แต่การทำเพื่อตัวเราเองนั้นมันเกิดประโยชน์ต่อสังคมไปโดยปริยาย นับเป็นความลงตัวอย่างยิ่ง

ความรู้เดิมเราสร้างบารมี 10 ทัศศ์ ต่อมาเราได้รับความรู้เพิ่มเติมให้สอนธรรมปฏิบัติจนผู้เรียนเกิดดวงตาเห็นธรรม เป็นการสร้างบารมีต่อยอดในยุคของเรา โดยมีหลักการว่าเมื่อบารมีเต็มส่วนย่อมพร้อมที่จะเห็นธรรมอยู่แล้ว เราไปจับจุดให้เกิดธรรมเลย คล้ายกับการโปรดสัตว์ของพระบรมศาสดา แต่พระองค์กระทำการโปรดสัตว์หลังจากพระองค์บำเพ็ญบารมี 10 ทัศศ์จนเต็มบริบูรณ์ แล้วบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง จึงมารื้อสัตว์ขนสัตว์ในภายหลัง แต่เราเอาหน้าที่สอนธรรมนี้ มาทำในขณะที่เรายังเป็นโพธิสัตว์ที่กำลังสร้างบารมีอยู่ เรายังไม่ใช่สัพพัญญู ขอให้ดูเรื่องการกู้ยืมบารมีประกอบ

การสอนธรรมของสัพพัญญู กับการสอนธรรมของเราซึ่งยังเป็นโพธิสัตว์ จึงไม่เหมือนกัน

การสอนธรรมของสัพพัญญูเป็นการรื้อสัตว์ขนสัตว์ ย่อมต้องมีตัวชี้วัดคือขนสัตว์เข้านิพพานไปให้ได้มากที่สุด ตัวชี้วัดทั้งปวงจึงพุ่งเป้ามาที่สัตว์โลก การสอนธรรมของท่านเป็นการสอนให้เห็นธรรมอย่างถาวร คือบรรลุธรรมเป็นลำดับไปโดยไม่ถอยหลังกลับนั่นเอง

แต่การสอนธรรมของพวกเราที่ยังเป็นเพียงโพธิสัตว์สร้างบารมีส่วนตนนั้น พุ่งเป้ามาที่ตัวเราเองมากกว่า คือ เราสอนเสร็จ เราก็กลับ ผลพลอยได้คือผู้เรียนได้โอกาสมีดวงตาเห็นธรรมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เราต้องยอมรับความจริงว่า เมื่อเราจากมา ธรรมะของผู้เรียนก็ค่อยๆ เลือนไป เหลือแต่ความทรงจำ และรอยใจให้เขาเหล่านั้นได้หวนกลับมาในเส้นทางสายธรรมะต่อไปในอนาคต

แต่การสร้างบารมี ย่อมมีอุปสรรคขัดขวางไม่ตรงไปตรงมา มีมารผจญมากบ้างน้อยบ้าง เมื่อเราแก้ทุกข์สมุทัย แก้ปิฎกของเขาได้ในระดับหนึ่ง นานไปมักมีการแก้คืนให้เราสับสนได้เสมอ

ผมเคยกล่าวถึงการแก้โรค โดยสมมุติเหตุผลที่ว่า มารส่งโรค เพราะฉะนั้นใครแก้โรคได้ คนนั้นย่อมเป็นพระ ใช่หรือไม่ คำตอบคือแต่ก่อนใช่ แต่ปัจจุบัน มีการเลียนแบบปนเป็นเข้ามาเพื่อดึงศรัทธาของผู้คนให้สับสนเอนเอียงออกไป ก็เกิดมีสำนักแก้โรคขึ้นมากมาย

โดยพื้นฐาน เราทราบว่าผู้ที่เห็นธรรม ย่อมเกิดอานิสงค์ที่ดีต่อตัวเขาเองมากมายมหาศาล มีการสรุปไว้ในตำราเป็นหน้าๆ แต่เมื่อเราสอนมากเข้า และมีโอกาสติดตามผู้เรียนของเรามาโดยตลอด บางทีกลับไม่เป็นไปดังคาด เราเริ่มสับสนว่าการเกิดธรรมไม่ได้เกิดผลต่อผู้เรียนเป็นอัศจรรย์อย่างที่เราคาดหวังไว้เสียแล้ว

คำตอบของผมคือ การสอนธรรมนั้น มีตัวแปรที่มาเกี่ยวข้องมากมาย ตัวแปรบางอย่างเราสามารถควบคุมได้ แม้เด็กที่มาเรียนกับเรา เราก็ควบคุมเขาได้ตอนที่อยู่กับเราเท่านั้น เราเห็นกิริยาอาการของผู้เรียนที่เปลี่ยนไปในทางดีได้ชัดเจนในขณะเกิดธรรมอยู่ต่อหน้าเรา แต่เมื่อเราจากไปแล้วเราไม่สามารถควบคุมตัวแปรอื่นๆ ที่เขาต้องไปสัมผัสเจอะเจอได้เลย โดยเฉพาะตัวแปรอันไม่คาดฝันที่ส่งวิชชามาจากภายใน เขารู้ว่าเราเริ่มสับสนกับสิ่งเหล่านี้ เขาก็ยิ่งทำให้เราสับสนมากยิ่งขึ้น หรือบางทีการเอาธรรมะไปให้ เหมือนเราให้สมบัติอันล้ำค่าแก่ผู้เรียน ผู้เรียนได้สมบัติไป อาจยังรักษาไว้ไม่ได้ดีนัก ก็ถูกโจรตีหัว อย่างนี้เราจะพิจารณาอย่างไร

เปรียบเทียบกับ การที่เรามีเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป เห็นคนบาดเจ็บรถเสียอยู่ข้างทาง ก็จอดรถลงไปช่วย แต่แล้วเขากลับแสดงตัวเป็นโจรปล้นเรา เราจะคิดว่าการมีคุณธรรมเมตตาของเราทำให้เราโดนโจรปล้น ต่อไปเราจะไม่มีเมตตาต่อใครอีกแล้ว ใช่หรือไม่

มาถึงตอนนี้ ผมคงไม่สรุปว่าควรหรือไม่ควรทำอย่างไรนะครับ ถือเป็นการเล่าสู่กันฟัง ผมเชื่อว่าเราก็ยังทำงานสอนต่อไปนั่นแหละ แต่เริ่มเข้าใจตัวชี้วัดงานสอนของเราในมุมมองของการได้บารมีส่วนตน มากกว่าการคาดหวังผลต่อผู้เรียนเพียงอย่างเดียว

ตัวชี้วัดการได้บารมีของตัวเราควรเป็นอย่างไร? ให้ได้แก้วแหวนเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือเปล่า เราย่อมรู้ของเรา แต่ครูบาอาจารย์ท่านให้ตัวชี้วัดเบื้องต้นไว้แก่เราดังนี้

เมื่อเราเป็นธรรมกาย เราต้องสามารถ

1.สอนเบื้องต้นให้เฉียบคม ให้เกิดธรรมได้

2.แก้ทุกข์ภัยโรคทางวิชชาได้ จึงจะฟังขึ้น

สำหรับผม ขอเพิ่มเติม ความแตกฉานเข้าใจในเนื้อหาวิชชา รู้เท่าทันเหลี่ยมคูของภาคกิเลส ได้มากยิ่งๆ ขึ้น ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ และความยาวนานพอสมควร กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนลาภยศสรรเสริญสุข มันย่อมเป็นผลพลอยได้ที่เกิดตามมา เพราะแท้จริง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสมบัติเดิมๆ ของพวกเราอยู่ก่อนแล้ว

Tuesday, October 12, 2010

กายฝัน

ผมเคยเขียนเรื่องกายมนุษย์หยาบมาแล้ว วันนี้ขอเขียนถึงกายฝันบ้าง กายฝันเป็นกายที่อยู่ลึกเข้าไปจากกายมนุษย์หยาบ 1 กาย ตามแกนกาย 18 กาย(แกนตั้ง) การเข้าไปเห็นหรือรับรู้เรื่องกายฝัน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มนุษย์ทั่วไปก็ยังพอสัมผัสกับกายฝันได้ในเวลาเรานอนหลับ แล้วฝันไป กายฝันออกไปทำหน้าที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ บางส่วนรับรู้มาถึงกายมนุษย์หยาบ ส่วนที่พอจำได้นั้นก็คือการฝันของกายมนุษย์หยาบนั่นเอง หากกายฝัน ฝันเข้าไปบ้างก็จะไปถึงกายทิพย์หยาบ คือกายข้างในของเราฝันเข้าไปเป็นชั้นๆ อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่าไว้ จึงเป็นที่มาของคำว่า ฝันในฝัน ซึ่งเราพอจะได้ยินกันมาบ้าง แต่ผู้ที่เดินวิชชา 18 กาย สามารถเห็นกายฝันในเวลาใดก็ได้

เมื่อเราจะคุยเรื่องกายฝัน อันเป็นเรื่องที่อยู่ลึก ไม่เห็นด้วยรู้ญาณธรรมดาของกายมนุษย์หยาบ จึงเป็นการรวบรวมความเห็น ความเข้าใจจากที่ต่างๆ รวมถึงเอารู้ญาณบางส่วนมาประกอบไว้ ผมจึงไม่อาจรับรองความถูกต้องในความรู้ตอนนี้ได้ ถือว่าเรามาพิจารณาร่วมกันนะครับ

เรามาเริ่มกันเลย

· กายฝัน มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า กายมนุษย์ละเอียด แต่ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก คือ กายไปเกิดมาเกิด กายสัมภเวสี ผี วิญญาณ สุดแต่สถานการณ์

คำบรรยายเพื่อท่องสอบวิปัสสนาจารย์กล่าวไว้ว่า ..กายฝัน หรือกายมนุษย์ละเอียด รูปร่างหน้าตาเหมือนเรา ขาวใส จึงเป็นกายที่ล้อกับกายมนุษย์หยาบ เพียงแต่ขาวใสกว่า

· เวลาเป็นกายมาเกิด มีบรรยายไว้ในหนังสือมรรคผลพิสดาร 2 ของหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า เป็นกายสูง 8 ศอก เข้ามาอยู่ในศูนย์(กลางกาย)ของบิดาก่อน มาอยู่นานเท่าใด ไม่มีกำหนดเวลาแน่ชัด บังคับให้บิดาไปประกอบธาตุธรรม(ร่วมประเวณี)กับมารดา ตอนนี้เกิดการประสมธาตุธรรมของบิดามารดาและบุตร กายฝันออกจากศูนย์ของบิดาเข้าสู่ศูนย์ของมารดา แล้วเริ่มสร้างกายมนุษย์หยาบในมดลูกของมารดา แล้วเจริญวัยขึ้น

เราพบว่า เพศของคนเราที่เวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย ถูกพลิกเปลี่ยนไปมาระหว่างชายกับหญิงได้ เราไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเปลี่ยนเราตอนไหน ครูอาจารย์เราเคยบอกว่ากองทัพที่มาช่วยหลวงพ่อวัดปากน้ำ ส่วนใหญ่ถูกมารพลิกธาตุธรรมจากเพศชายในสวรรค์ชั้น 4 ให้มาเกิดเป็นผู้หญิง หลายๆ ท่านมีครอบครัว มีสามี มีบุตร มาก่อนที่จะเจอหลวงพ่อ

เป็นเรื่องน่าคิดว่า กายหยาบของเรา มันยังพลิกเพศได้ นับประสาอะไรกับใจของเรา บางท่านกายเป็นชาย แต่ใจเป็นหญิง หรือบางท่านกายเป็นหญิง แต่ใจเป็นชาย จึงดูว่าเขาก็คงพลิกได้ไม่ยาก จากความรู้ในวิชชา 18 กาย การแบ่งเพศมีอยู่ในกายมนุษย์และกายทิพย์เท่านั้น จากนั้นพอถึงกาย(รูป)พรหม ไม่บ่งบอกความเป็นหญิงเป็นชายแล้ว ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าความรู้สึกในส่วนนี้ไม่น่ามีความสำคัญอะไร ถ้าเรามาสร้างบารมีได้ถูกทาง

· เวลาเป็นกายไปเกิด คือกายมนุษย์หยาบกำลังจะตาย กายฝันลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงฐานที่ 7 กับฐานที่ 6 หลังจากนั้นก็หลุดมาสู่ฐานที่ 5 ฐานที่ 4 ฐานที่ 3 พอถึงฐานที่ 3 ตาของกายมนุษย์หยาบเหลือกกลับเหมือนเป็นการสั่งลา แล้วออกไปฐานที่ 2 และฐานที่ 1 แล้วก็หลุดไปหาที่เกิดใหม่

ถึงตอนนี้เราได้ยินความรู้เสมอว่า คนไปดี(สวรรค์)เท่าเขาโค ไปไม่ดี(นรก)เท่าขนโค สุดแต่เราจะระลึกถึงคุณความดีหรือความไม่ดีที่เราทำไว้ ได้แค่ไหน เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่นึกได้แต่สิ่งไม่ดี ทั้งๆ ที่หลายท่านทำคุณงามความดีไว้ไม่น้อย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะบาปกรรมมีกำลังแรงกว่าหรือ หรือเวลาใกล้ตายมีทุกขเวทนาแรงกล้าเหลือเกิน ใจพลอยกระสับกระส่ายไปด้วย การใส่สายสวนต่างๆ ท่อช่วยหายใจ เข็มแทงน้ำเกลือ มีส่วนเพิ่มทุกขเวทนาแก่กายมนุษย์หยาบของเราก่อนเราจะตายหรือไม่ เพราะถึงตอนนั้นเราก็สื่อสารกับใครๆ ไม่ได้มานานแล้ว ว่าเราเจ็บขนาดไหน

คุณลุงถึงกับบ่นกายฝันว่า เธอเวียนตายเวียนเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทำไมถึงไปดีไม่เป็นซักที พอกายมนุษย์หยาบตาย กายฝันหมดฤทธิ์แล้วหรืออย่างไร?

เวลานอนหลับฝัน รู้ญาณที่เกิดจากกายฝันถือว่าเชื่อไม่ได้ แม้ระดับครูอาจารย์ก็ยังบ่นว่าเมื่อกายมนุษย์หลับ บางทีกายฝันยังฝันไปอย่างสับสนไม่เป็นเรื่องเป็นราว แสดงว่ากายละเอียดทั้งปวงหวังพึ่งกายมนุษย์หยาบทั้งนั้น

· กายฝันของผู้มีบารมี

o เด็กเล็กๆ ยังดูดนมเจี๊ยบๆ เวลาพ่อแม่อุ้มมาพบคุณลุง คุณลุงบอกว่าลุงคุยกับกายฝันของเด็ก เขาไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่เราเห็น เขาบอกลุงว่าที่เขามาเกิดเพราะเขาต้องการจะมาเจอลุง

o กายฝันของพ่อแม่ที่แก่แล้วของวิทยากรบางคน ก็เคยออกมาปรากฏแก่ผู้มีรู้ญาณบางท่าน สวยงามหนุ่มสาวกว่ากายมนุษย์หยาบที่เราเห็น และแสดงรัศมีให้ดู พร้อมกับบอกว่าเขามาเป็นพ่อเป็นแม่ให้วิทยากรเชียวนะ

ผมขออธิบายตามความเห็นของผมว่า กายฝันก็มีกำเนิดต้นกลางปลายเช่นกัน กายมนุษย์ยังเป็นเด็กเล็ก แต่เวลามาคุยกับเราเขาใช้กายฝันที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วมาคุย หรือกายมนุษย์ที่แก่มากแล้วเริ่มไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก แต่เอากายฝันที่สวยงามมาคุยกับเราได้ แสดงว่ากายฝันของผู้มีบารมีย่อมไม่ธรรมดา

· กายฝันของสัตว์เดียรัจฉาน

ผมสงสัยมาตลอดว่าเวลาหมาแมวมันฝัน มันจะฝันว่าตัวมันเป็นอะไร? ในใจลึกๆ อยากตอบแบบสามัญสำนึกว่า มันก็ควรจะฝันว่าตัวมันเป็นหมาเป็นแมวนั่นแหละ มันจะนึกคิดได้ขนาดไหนกัน

เราเคยได้ยินความรู้ว่า ภายนอกเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่กายในก็เป็นกายมนุษย์(ละเอียด)นั่นแหละเพียงแต่เศร้าหมอง ไม่สว่างเท่าที่ควร เมื่อเราได้ยินความรู้นี้ เราเข้าไปดูกายฝันของสัตว์ เราก็จะพบกายมนุษย์ของเขาได้จริงๆ

แต่ในบางโอกาส หลายๆ ท่านที่เห็นกายฝันของสัตว์ ก็ยังเห็นเป็นสัตว์เหมือนกายหยาบของมันนั่นเอง รวมถึงประสบการณ์ของผู้ที่เคยเลี้ยงสัตว์จนผูกพัน เวลาสัตว์นั้นตายลง ยังกลับมาหาเจ้าของเป็นร่างสัตว์แบบเดิมได้ด้วย

หากความรู้เหล่านี้เป็นจริงทั้งหมด มันก็เป็น jigsaws ที่ทำให้เรารู้ว่ากายฝันระดับนี้ คงมีอะไรซ้อนๆ อยู่ด้วยกัน มีต้นกลางปลาย อ่อนแก่ หยาบละเอียด ไปทางใดทางหนึ่ง เขาจึงมีกายหมาละเอียด กายแมวละเอียด กับกายมนุษย์ละเอียดด้วย !?

จะเห็นได้ว่าวิชชา 18 กายแบบที่เราเรียนรู้กัน ยังมีความละเอียดลึกซึ้งอีกมากมายมหาศาลยิ่งนัก แต่เดิม วิชชาธรรมกายค้นคว้าได้ 1 ดวงธรรม 5 กาย มาเป็น 3 ดวงธรรม 5 กาย มาเป็น 6 ดวงธรรม 5 กาย แล้วมาเป็น 6 ดวงธรรม 18 กาย หากเราคิดต่อ มันอาจมีอีกก็ได้ แต่การค้นคว้ายังค่อยๆ เป็นไป และหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ไม่อยู่เสียแล้ว คนยุคหลังพูดไป ก็ต้องระวังความเพี้ยน ความเฝือไว้ให้มาก

ตอนนี้เราเริ่มพูดกันว่า ดวงธรรมไม่ได้มีแค่ 6 ดวง เพราะถ้ามีน้อย รู้ญาณไม่กว้างไกล มันยังมีอีกมาก ขอเพียงแต่เราอย่าหยุดที่จะเรียนรู้อย่างระมัดระวัง เท่านั้น

แม้ว่าวันนี้ เราจะคุยกันเรื่องกายฝัน ซึ่งยังมีเนื้อหาอีกมาก แต่ท่านก็อย่ามาติดกับความรู้ในระดับนี้ เพียงแค่นี้ ท่านต้องเดินวิชชาต่อไปให้ครบ 18 กาย ตามแบบฉบับที่วิทยากรทุกท่านต้องกระทำเป็นประจำ วันนี้เนื้อหายาวไปหน่อย คงไม่ทำให้น่าเบื่อเกินไปนะครับ

Friday, October 8, 2010

รู้ญาณต้องมีการตรวจสอบ

เนื้อหาในวันนี้อาจคล้ายกับเรื่องที่ผ่านมา เช่น รู้ญาณกับเหตุผล กาลามสูตร พรสวรรค์กับพรแสวง ฯลฯ แต่วันนี้เน้นเรื่องการเชื่อในรู้ในญาณเป็นหลัก

รู้ญาณ คือความรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัสที่ไม่ใช่ของกายมนุษย์โดยตรง อาจเป็นความรู้จากกายในกายข้างใน เช่นกายฝัน กายทิพย์ จนกระทั่งถึงกายธรรม รู้ญาณอาจชัดเจนมากเหมือนเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยกายมนุษย์เอง หรืออาจเป็นเพียงความรับรู้ ความรู้สึก โดยยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างนัก ที่เรียกว่าสังหรณ์ ก็ได้

รู้ญาณควรมีเหตุผล หรือปัญญากำกับเสมอ รู้ญาณกับเหตุผลจึงเป็นของควรคู่กัน ถ้าเปรียบเป็นอาหาร รู้ญาณก็คือรสชาติของอาหาร เหตุผลคือคุณค่าทางโภชนาการของอาหารนั้น จะเอาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ หากเอาแต่รสชาติไม่เอาคุณค่า ก็อาจได้แต่อาหารขยะ ทำลายสุขภาพเรา หากเอาแต่คุณค่าทางโภชนาการ ไม่เอารสชาติ เราก็ทานไม่ลง

เราเชื่อรู้ญาณเพราะอะไร ?

  • เพราะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องมีการตรวจสอบ

หากเราอ่านเรื่องกาลามสูตร เราจะรู้ว่าข้อมูลทั้งปวงต้องตรวจสอบทั้งนั้น หลักกาลามสูตรตรวจสอบข้อมูลที่กายมนุษย์ได้รับรู้มา แต่รู้ญาณได้มาจากสัมผัสละเอียดที่อยู่ลึกเข้าไป โดยหลักเหตุผล ยิ่งต้องมีการตรวจสอบมากกว่าข้อมูลของกายมนุษย์ด้วยซ้ำ

นับเป็นโชคดีของเรา ที่ครูบาอาจารย์ท่านเน้นเรื่องการตรวจสอบรู้ญาณอยู่เสมอ ไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ เราจึงมีความรู้นี้เป็นพื้นฐานอยู่ วิธีการตรวจสอบทำอย่างไร เป็นความรู้ลึกและยาว ขอให้หาอ่านในหนังสือปราบมารภาค 1 ของคุณลุงนะครับ

  • เพราะ รู้ญาณที่เราสัมผัสได้ ชัดเจนมาก

หากไม่เคยรู้มาก่อนว่ารู้ญาณทั้งปวงต้องตรวจสอบ เราก็คงอาศัยความชัดเจนเป็นหลัก โดยเข้าใจว่ายิ่งชัด ก็น่าจะยิ่งถูกต้อง

แต่ความเป็นจริง แม้การเห็นกับตาของกายมนุษย์ การได้ยินมากับหูของกายมนุษย์ ยังตีความผิดพลาดมานักต่อนัก ทำเอาคนทะเลาะกันมานักต่อนัก นับประสาอะไรกับความรู้ที่ว่าชัดๆ จากภายในที่เราฝันเข้าไปไม่รู้กี่ชั้น แล้วจะไม่หลอกเรา

เราเคยจับผิดนักมายากลเก่งๆ ได้หรือไม่? เห็นชัดกับตา ยังจับผิดเขาไม่ได้ พอเขาเฉลยจึงรู้ว่าเป็นเพียงการลวงตาเราเท่านั้น

  • เพราะ มันเคยถูกต้องมาก่อน (แทบ)ทุกครั้ง

มีความรู้อยู่ว่า หากเป็นเรื่องไม่สำคัญ รู้ญาณนั้นเขาไม่ขวาง เรารู้ว่าภาคมารมักลวงให้เราหลงผิดได้เสมอ รู้ญาณเล็กๆ น้อยๆ หลายๆ อย่าง เราถูกมาตลอด เพราะเขาไม่จำเป็นต้องขวางเรา ดีเสียอีก เราจะได้เข้าใจผิดว่าเราเป็นผู้วิเศษแท้ ทำนายทายทักแม่นยำ เช่นบางทีจะไปไหน เกิดรู้ว่าของจะหาย แล้วของนั้นก็หายจริงๆ ผู้ทายก็กระหยิ่มใจว่าเรารู้ล่วงหน้าก่อนใคร สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถูกมาเป็น 99 ครั้ง พอเราจะตัดสินใจอะไรครั้งที่ 100 มันจะไม่ถูกหรือ??

บังเอิญ การตัดสินใจนั้นเป็นครั้งสำคัญในชีวิต เช่นเราควรจะนับถือหมู่คณะไหนดี เราควรเชื่อในความเชื่อไหนดี คราวนี้มันไม่ถูกง่ายๆ หรอก แต่มันเป็นรู้ญาณครั้งที่ 100 ซึ่งเราถูกมาตลอด 99 ครั้งเชียวนะ ตอนนี้ท่านจะเอาเหตุผลหรือจะเอารู้ญาณมาตัดสิน

  • เพราะ ความเผลอเรอ

บางครั้ง เรื่องราวมันเล็กๆ น้อยๆ จนเราไม่คิดว่าจะต้องตรวจสอบ ก็เน้นกันแต่เรื่องสำคัญๆ

หรือ บางครั้งเราไม่ทันตั้งตัว ประสบการณ์ของครูอาจารย์ เช่นกำลังเดินวิชชา จู่ๆ ก็เห็นเป็นพ่อแม่บุตรภรรยา หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำปรากฏขึ้นให้เราชะงัก อันนี้อาจไม่ได้ทำให้เราเชื่อ แต่ทำให้วิชชาเราช้าลง

เราอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เราคงเผลอไปบ้างไม่มากก็น้อย รับรู้อะไรมาก็อาจคล้อยตามไปบ้างเหมือนกัน แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็ขอให้เอาความรู้นี้เป็นหลักเกณฑ์ไว้ก่อนนะครับ

Friday, September 24, 2010

กายมนุษย์นั้น สำคัญไฉน?

คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้พวกเราส่วนใหญ่ใช้กายมนุษย์อ่านบทความนี้อยู่ ผมกำลังจะคุยเรื่องกายมนุษย์(หยาบ)ของเรา โดยยกประเด็นทางวิชชาธรรมกายในแง่มุมต่างๆ นะครับ

กายมนุษย์ เป็นผลของทุกข์ (สมุทัย) ส่วนหยาบ

หากเรามองในแง่มุมของไตรลักษณ์ กายมนุษย์ตกอยู่ในไตรลักษณ์เต็มที่ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สายที่เชื่อในเรื่องไตรลักษณ์เต็มๆ มักพิจารณากายมนุษย์เป็นของเน่าเปื่อย เป็นรังแห่งโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า ก็ยังไม่มี และทางสายนี้ไม่ค่อยได้ยินใครกล่าวถึง ทางปฏิบัติไปสู่ความเป็นทิพย์ พรหม อรูปพรหม แต่เข้าใจจากความรู้ว่าแม้ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ก็ยังตกอยู่ในไตรลักษณ์ สุขที่แท้ต้องไปนิพพาน แต่ยังเถียงกันว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตา จึงเหมารวมๆ ว่าเป็นความว่างปราศจากทุกสิ่ง เอาความว่างนี้ว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง สรุปคือสอนให้ละวางจากกายมนุษย์อันเป็นไตรลักษณ์ ไปสู่ความว่างทั้งปวงอันน่าจะเป็นนิพพาน แต่การละกายมนุษย์ยังต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ไปฆ่าตัวตาย เพราะไม่สมเหตุสมผล และยังเป็นบาปอยู่

ในคู่มือมรรคผลพิสดารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ บทที่กล่าวถึงอริยสัจจ์ 4 กล่าวถึงกายมนุษย์ว่าเป็นตัวทุกข์ส่วนหยาบทั้งก้อน ส่วนกายทิพย์เป็นทุกข์ส่วนละเอียด หรือเป็นสมุทัย(เหตุ)ของกายมนุษย์ แล้วไล่เป็นลำดับขึ้นไปจนถึงกายธรรมซึ่งเป็นนิโรธกับมรรค การแก้ไขก็ต้องเพ่งเผากาย(กิเลส)ทั้งหลาย ไล่จากกายธรรม ลงมาที่กายอรูปพรหม กายพรหม กายทิพย์ และสุดท้ายกายมนุษย์ ถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นประโยชน์ใดใดของกายมนุษย์เลย

กายมนุษย์กับบทบาทในการทำวิชชา

คู่มือมรรคผลพิสดาร 1 บทที่ 35 กล่าวถึงการเดินวิชชาที่จะระเบิดไม่แตก เป็นบทแรกๆ ของการหัดทำกายมนุษย์พิเศษ

เนื้อหาทั้งปวงเป็นการทำกายมนุษย์(พิเศษ) จากกายมนุษย์สุดหยาบสุดละเอียด (แกนนอน – จะกล่าวถึงในบทความตอนต่อๆ ไป) แล้วใช้กายที่ทำขึ้นไปทำงานต่อ นั่นคือกายมนุษย์จึงเป็นกายที่ระเบิดไม่แตก ความรู้นี้เริ่มมีมาตั้งแต่ยุคแรกๆ แล้ว แต่อาจไม่ได้กล่าวตรงๆ เท่าใดนัก

ธาตุธรรมทั้งปวงต่างแย่งกันปกครอง(กาย)มนุษย์

เพราะกายมนุษย์(คง)ให้ประโยชน์ในเรื่องบารมีทั้งหยาบทั้งละเอียด หากมนุษย์เชื่อถือศรัทธา ก็จะประพฤติตามธรรม และกระทำพิธีกรรมทั้งปวงตามความเชื่อนั้นๆ เกิดบารมีขึ้นทั้งหยาบทั้งละเอียดจากธรรมเหล่านั้น ธาตุธรรมส่วนละเอียดจะได้ประโยชน์ตรงนี้ ดูว่าบารมีทั้งปวงต้องมาทำด้วยกายมนุษย์กายนี้

ประชากรมนุษย์ในโลกใบนี้ มีน้อยมากเมื่อเทียบกับในส่วนของธาตุธรรม

เราคิดกันเล่นๆ ขณะนี้โลกเรามีประชากรประมาณ 6 พันล้านคน แต่จำนวนพระพุทธเจ้า(ยังไม่นับสาวก) ที่เข้านิพพานไปแล้วมีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งสี่ หรือนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน และการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าต้องมาสร้างในโลกมนุษย์

แค่ 1 อสงไขยก็เป็นตัวเลข 1 คูณกับ 10 ยกกำลัง 140 เข้าไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้วเท่าไหร่ ยังเหลือรออยู่อีกเท่าไหร่ เพราะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เพียงนิดเดียว น่าคิด

เห็นตัวเลขแล้วน่าตกใจ เราคงเริ่มเห็นความสำคัญของการเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง มันคงมีอะไรมากกว่าการเกิดมาใช้กรรม หรือมาเป็นบ่าวของทุกข์สมุทัยเท่านั้น

Sunday, September 19, 2010

ปากช่องจมูก หญิงซ้าย ชายขวา

วิทยากรเคยสับสนเรื่องปากช่องจมูก หญิงซ้าย ชายขวา หรือไม่ ถ้าท่านสับสน ผมก็เคยสับสนมาก่อน เราลองมาพิจารณาเรื่องนี้กัน

ทำไมต้องหญิงซ้าย ชายขวา ไม่เหมือนกัน?

มันเป็นกฏ มันเป็นตำรา มันเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ห้ามสงสัย เหมือนจะถามว่าทำไมต้องมีผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ

ในบทต้นๆ ของคู่มือสมภารบอกว่าหากเราชำนาญแล้ว ในการเดินวิชชาครั้งต่อๆ ไป เราไม่ต้องเดินใจตามฐานก็ได้ ให้เราเอาใจไปตั้งที่ศูนย์กลางกายเลย ทำไมแนวทางของเราจึงต้องเดินฐาน 7 ฐาน หรืออย่างน้อย 3 ฐานลัดลงท้องอยู่?

คำถามนี้ผมถามคุณลุง โดยอ้างอิงข้อมูลที่ว่ากายทุกกายมีศูนย์(กลางกาย)ตรงกันเหมือนรูสตางค์แดงที่เราร้อยเชือกเข้าด้วยกัน ทำไมเรายังต้องเดินฐาน โดยเริ่มที่ปากช่องจมูกของกายใหม่ คุณลุงตอบว่า หากไม่มีมาร หรือจุดดำมาขวางเรา เราเดินวิชชาทะลุถึงกันได้เลย แต่มารเขามักเข้ามายุ่งกับเราทุกเรื่องทำให้การเดินวิชชาไม่สะดวกอย่างที่น่าจะเป็น อีกอย่างหนึ่งคือ ปากช่องจมูกเปรียบเสมือนประตูบ้าน เราจะเข้าไปกลางบ้าน เราต้องเข้าทางประตู

เวลาเดินวิชชา 18 กาย จนเข้าหากายธรรมต้นธาตุ แล้วเข้าหาพระพุทธองค์ในนิพพาน ล้วนยึดเพศของตัวเราคือ หากเราเป็นหญิงก็เข้าปากช่องจมูกซ้ายของกายธรรมต้นธาตุ และพระพุทธองค์ หากเราเป็นชายก็เข้าปากช่องจมูกขวาของกายธรรมต้นธาตุ และพระพุทธองค์ เราเลยถือว่ายึดตัวเราเป็นหลักตลอดมา

ต่อมาได้รับความรู้เพิ่มเติม เวลาเราจะยิงกายเราไปช่วยคนอื่น เราต้องดูเพศของคนที่เราจะช่วย และเข้าปากช่องจมูกให้ถูกตามเพศของเขา หรือแม้การละลายกายมารก็เช่นกัน ก็ต้องดูเพศเขาด้วย จึงเกิดความสับสนว่าจะยึดอะไรเป็นหลักดี?

ผมเคยให้วิทยากรถามความสับสนนี้แก่คุณลุง ได้รับคำตอบว่า อะไรกัน เดินวิชชามาตั้งนาน ปากช่องจมูกยังเข้าไม่ถูก แล้วเมื่อไหร่เราจะชนะ !?

สุดท้ายผมก็พบคำตอบว่า หากเราเดินวิชชาอยู่ในศูนย์(กลางกาย)ของเรา ให้ยึดเพศตัวเราเป็นหลัก หากเราเกิดความฉุกละหุก จำเป็นต้องยิงกาย(ฯลฯ)ของเราออกไปยังคนอื่น ให้ยึดเพศของคนที่เรายิงไปหา เป็นหลัก

จึงสรุปไว้เป็นข้อมูลในที่นี้นะครับ

Wednesday, September 15, 2010

คนบ้าหน้าร้าน

วันนี้อยากแบ่งปันเรื่องเบาๆ บ้าง เพื่อให้วิทยากรมีความเชื่อมั่นในวิชชา ว่าสามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัย กำจัดโรค ได้จริงๆ วันใดที่เรารู้สึกว่าเราเดินวิชชาได้ดีแสนดี พอออกจากวิชชาก็ โดน เลย เราก็อย่าเพิ่งท้อใจ และเข้าใจผิดในวิชชา เขาก็ต้องการให้เราเข้าใจอย่างนั้นคือ ถึงเธอจะเดินวิชชาได้ดีปานใด เธอก็โดน เราต้องฝ่าด่านนี้ไปให้ได้ ให้มันรู้กันว่ายิ่งโดน ก็ยิ่งเดินวิชชา ไม่มีอะไรมาห้ามเราได้ และถ้าโดนหนักๆ เข้า เราก็เป็นศิษย์มีอาจารย์ เราจะฟ้องคุณครูเรานะ ไม่ใช่พอเดินวิชชาแล้วโดน ก็ไม่กล้าเดินวิชชา เข้าทางมันพอดี!

เช้าวันหนึ่ง มีคนสติไม่ดี(บ้า) มายืนอยู่หน้าคลินิกของผม เนื้อตัวมอมแมม วางสัมภาระข้าวของไว้ที่ฟุตบาท พูดจาและร้องเพลงเสียงดัง แถมหยิบบุหรี่มวนใบจากขึ้นมาสูบอย่างสบายอารมณ์ เราคิดว่ามันร้องเพลงจนเหนื่อย ก็คงจะไปเอง แต่น่าแปลก คนบ้าไม่เคยเหนื่อยง่ายๆ เสียงดังขึ้นทุกที พร้อมกับกลิ่นบุหรี่ใบจากลอยเข้ามาในร้าน

แว่บแรกๆ ของความคิด คือพยายามแก้ไขแบบคนทั่วๆ ไป เราจะออกไปเตะมันซะเลยดีไหม หรือจะหาตำรวจที่ไหนมาจับตัวมันไป นึกไปนึกมา ก็นึกถึงที่คุณลุงเคยสอนให้ช่วยคน เวลาเขากำลังทำร้ายตัวเอง เอามีดเชือดตัวเอง เออ ทำไมเราไม่นึกถึงการแก้ไขทางวิชชาก่อน

ผมนึกเอาใจกายมนุษย์(พิเศษ) ยิงเข้าไปในกายมนุษย์ของคนบ้า เข้าไปตามฐาน 7 ฐาน(หรือ 3 ฐานลัดลงท้อง) เข้าไป หมุนขวา แลบลั่นย่อยแยกระเบิดผ่าดับละลายให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ฯลฯ ตามที่คุณลุงสอนเอาไว้ แล้วไปทำที่กายฝัน กายทิพย์หยาบ ทิพย์ละเอียด ... จนถึงกายธรรมพระอรหัตต์ละเอียด ของคนบ้า ปฏิโลมกลับมาที่กายมนุษย์ของคนบ้าอีกครั้ง ทำไป ละลายลูกเดียว

แล้วเงี่ยหูฟังว่ามันไปหรือยัง เอ เสียงมันเงียบไปเหมือนกันนะ แอบหรี่ตาดู อ้าว มันร้องเพลงต่อ แถมหยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นมาสูบ มันยังไม่ไป มันจะได้ผลหรือเปล่าเนี่ยะ ผมหลับตาจะเดินวิชชาต่อ

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันดัง ไป ไปเลย มาสูบบุหรี่หน้าร้านหมอเขาได้ยังไง โน่น ไปอยู่ริมน้ำโน่น !!คนข้างบ้านถัดไปอีก 2 ห้อง เดินมาไล่ให้ คนบ้าเผ่นกระเจิงไปทันที

หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์แก้ไขอะไรๆ ด้วยวิชชามาบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย อาจเป็นความบังเอิญก็ได้

เพียงแต่การแก้ไขมันเกิดหลังจากเราเดินวิชชาเท่านั้นเอง

Friday, September 10, 2010

ศพไม่เน่า

หลายปีมาแล้ว ผมเคยไปเที่ยวจังหวัดหนึ่งกับวิทยากร โดยต้องขึ้นเครื่องบินไป วัดแห่งหนึ่งที่นั่น มีศพที่ไม่เน่าเปื่อยของอดีตพระอาจารย์รูปหนึ่งตั้งไว้ให้เราเคารพสักการะ ลักษณะเป็นศพที่แห้งและไม่เน่าเปื่อย อยู่ในท่านั่งสมาธิ ในครอบแก้ว มองเห็นได้ชัด ความที่ผมเคยไปกราบศพหลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่บ่อยๆ ทำให้เรานึกว่ากายศพที่เราเห็นในครั้งนี้ยังเป็นกายมนุษย์(หยาบ) ของพระอาจารย์รูปนั้น

ผมเก็บความเข้าใจนี้ไว้ จนมีโอกาสโทรศัพท์ไปสอบถามคุณลุง อาจารย์ในวิชชาธรรมกายของเรา ผมเริ่มถามคุณลุงว่าผมไปเห็นศพไม่เน่าเปื่อยมา หากผมอยากตรวจสอบ ผมก็เดินวิชชาไปตามฐาน 7 ฐาน(หรือ 3 ฐานลัดลงท้อง) ของศพแล้วเข้าไปใน 18 กายของศพ ใช่หรือไม่?

คุณลุงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจความรู้ของผมนัก ถามผมกลับว่าหมอจะไปดูอะไร? หมออยากทำอะไร?

ถ้าหมออยากตรวจคนตายว่าไปไหน หมอต้องไปที่ตีนเขาพระสุเมรุ แล้วใช้ธรรมกายเราเรียกท่านมาสอบถาม เมื่อเห็นท่านก็ต้องตรวจสอบก่อนว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แล้วสอบถามท่านไป เช่นท่านมาบำเพ็ญบารมีแล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ มีสารทุกข์สุกดิบอย่างไร เป็นต้น

ส่วนศพที่เราเห็น ก็ดูให้ดีว่ามีใครมายึดครองอยู่ อาจเป็นจักรพรรดิ์ หรือไม่ก็กายธรรม แต่มักเป็นจักรพรรดิ์มากกว่า ตรวจดูว่าเป็นภาคไหน เราจะทำอะไรต่อ ก็ว่ากันไปตามสมควร

ผมจึงได้ความรู้ว่า นี่ไม่เหมือนกรณีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ศพที่ไม่เน่าจะเป็นสถานที่(ภพ)อีกแห่งหนึ่ง ที่จักรพรรดิ์กายสิทธิ์แย่งกันเข้ามายึดครอง เจ้าของดั้งเดิมท่านไม่อยู่แล้ว ท่านไปอยู่ตามภูมิธรรมของท่าน

สมัยก่อนเราเชื่อว่าการที่ศพไม่เน่าเปื่อย กระดูกเป็นพระธาตุ เป็นตัวชี้วัดของพระอริยสงฆ์ จริงๆ แล้วหากเราตรวจสอบได้ชัดเจนจริง ก็ไม่ต้องอาศัยตัวชี้วัด แต่เราเป็นผู้ไม่รู้ เราจำเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดอยู่ แต่ตัวชี้วัดก็เป็นแค่ตัวชี้วัด ทำเลียนแบบให้เราสับสนได้เสมอ เราจึงควรใส่ใจในเหตุผลสำคัญหลักๆ จะดีกว่า

เพราะใบปริญญา ใบรับรองแพทย์ บางครั้งก็ปลอมได้ !

Wednesday, September 8, 2010

ท่องจำเอา

หลายท่านคงสงสัยว่าวิทยากรสอนธรรมปฏิบัติ เห็นธรรมะที่ตนสอนหรือไม่ ?

ผมตอบได้ทันทีเลยว่า เห็นสิ !!

เพราะความเห็น หรือทุกสิ่งในโลก ล้วนมี ต้นกลางปลาย อ่อนแก่ หยาบละเอียด เล็กโต อดีตปัจจุบันอนาคต ฯลฯ ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเรามองมุมไหน

ใจของเราประกอบด้วย เห็น จำ คิด รู้ ตัวรู้อยู่ลึกสุด ละเอียดสุด เรารู้ก่อนแล้วค่อยๆ คิดนึก จำได้ จนเห็นด้วยใจ ตัวความเห็นเองก็ยังมีอ่อนแก่ หยาบละเอียดอีกเช่นกัน จากเลือนลางจนเป็นความนึกคิดในมโนภาพ จนกระทั่งเห็นแจ่มชัดเหมือนลืมตาเห็น คือนึกได้จาก 20% เป็น 50% เป็น 80% เป็นนึกได้ 100% ก็คือเห็นนั่นเอง

การเห็นด้วยตาเรา มันเห็นเลย ส่วนการเห็นด้วยใจ บางท่านเห็นเลย (แต่อย่าลืมว่าต้องตรวจสอบความถูกผิดด้วยเสมอ ไม่ว่าการเห็นนั้นจะชัดเจนปานใดก็ตาม) แต่คนส่วนใหญ่ต้องนึกนำ

ก็ใจเรานึกอะไรก็ได้ เราจะนึกนำยังไง

เราก็นึกสิ่งที่มีแก่นสารสิ นั่นคือนึกไปตามรอยใจที่ถูกต้อง ถูกหลักวิชชาที่ธาตุธรรมระดับครูบาอาจารย์อุตส่าห์ค้นคว้ามาได้ เป็นแผนที่และพิมพ์เขียวอันเป็นที่ยอมรับแล้ว สร้างรอยใจที่ถูกไว้ ความเห็นที่ถูกมันจะตามมา

บางท่านไม่ให้นึกอะไรเลย แล้วใจเราจะไปยังจุดหมายที่ถูกต้องได้อย่างไร เหมือนถนนหน้าบ้านเราสามารถนำเราไปสู่ จ.เชียงใหม่ ได้ แต่เราทำแค่เอาตัวเราไปจ่ออยู่บนถนนหน้าบ้านเท่านั้น ไม่มีการกระทำของการเคลื่อนที่ไป เราก็ยังไปไม่ถึงซักที

นึกเอา ท่องเอา จะมีอานิสงค์จากการทำวิชชาหรือ

มันเป็นการทำงานทางใจ ใจทำงาน ก็ต้องได้งาน กล้ามเนื้อทำงานออกแรง กล้ามเนื้อก็ค่อยๆ มีแรงขึ้นมาทีละนิด และเกิดงานด้วย

แม้ความรู้ในทางโลก ก็อาศัยผู้ที่ค้นคว้าได้ก่อนมาบอกเรา หรือเขียนตำราทิ้งไว้ให้เรา เราทำตาม ไม่ต้องเสียเวลาค้นเอง ก็เกิดอานิสงค์ แพทย์รุ่นหลังรักษาคนไข้จากตำรา(Textbook)ที่แพทย์รุ่นก่อนเขียนไว้ให้ ยังไม่จำเป็นต้องทดลองความรู้เองจากความไม่มีอะไร ไม่ต้องลองผิดลองถูกแบบคนยุคเก่าๆ ท่องจำความรู้นั้นได้ โดยอาศัยการต่อยอดมาจากวิชชาแพทย์ดั้งเดิมอันเป็นที่ยอมรับมาเรื่อยๆ คนไข้หายป่วย ก็เป็นอานิสงค์ของความรู้อันถูกต้องที่แพทย์นำมาใช้

การท่องวิชชาให้ติดปาก เหมือนเราเคยท่องอาขยานสมัยเด็กๆ ก็คือการทำให้เราจำได้ แล้วตอกย้ำการทำงานของใจเราไว้ให้สม่ำเสมอ เพียงแต่เราต้องเลือกสิ่งที่เราจะท่องว่ามีคุณค่าจริง

พรสวรรค์ กับ พรแสวง

วันนี้เรามาพิจารณาเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง พรสวรรค์กับพรแสวง เป็นคุณสมบัติประจำตัวของมนุษย์ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เหมือนกับคุณสมบัติของตะกั่วกับทองคำ หากดูว่าเป็นเพียงของแข็ง มันก็ไม่ต่างกัน แต่ถ้าดูคุณสมบัติแยกแยะอย่างอื่น มันต่างกันมาก บางคุณสมบัติเราอาจไม่ได้นำมาใช้สอยเพราะเหตุผลบางอย่างเช่น ทองคำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด แต่เราไม่เอามาทำสายไฟ เพราะแพงไป เอามาทำเครื่องประดับดีกว่า

สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณสมบัติเหล่านี้ ยังไม่ได้ตัดสิน ดีเลว ถูกผิด ใช่ไม่ใช่ มันขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ต่างหาก

พรสวรรค์ คือคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

พรแสวง (ศัพท์คงไม่เป็นทางการนัก แต่จะใช้ในบทความนี้) คือสิ่งที่เราฝึกฝนสร้างขึ้นมาใหม่

เราจะดูพรสวรรค์ของมนุษย์อย่างไร? เราก็ต้องแยกแยะกาย(จิต)วิภาคออกไป มนุษย์มีขันธ์ ที่ติดต่อกับโลกภายนอกด้วยอายตนะ ตีความสิ่งที่รับเข้ามาจากอายตนะด้วยธาตุและอินทรีย์และลึกๆ เข้าไป

ความสามารถทางอายตนะนั่นแหละ เป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ อายตนะมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละอย่างมีหน้าที่ต่างกัน หน้าที่ที่เด่นขึ้นมาเป็นพิเศษของอายตนะใดใด ถือเป็นพรสวรรค์ของอายตนะนั้นๆ

ตา

ผู้ที่เกิดมามีประสาทสัมผัสทางตาดี ก็มีพรสวรรค์ทางการใช้สายตา แยกแยะสีสรร สิ่งของต่างๆ ได้รวดเร็ว ตรวจดูความผิดเพี้ยนของสี ตรวจทานคำผิด ได้แม่นยำกว่าคนทั่วไป

เราฝึกพรแสวงทางตาได้ภายหลังจากการฝึกฝนสายตาของเราอยู่บ่อยๆ ผมเคยเห็นเพื่อนแพทย์ที่อยู่แผนก X-ray สามารถบรรยายสิ่งที่เห็นเป็นเงาในฟิล์ม X-ray ได้อย่างละเอียดละออ ทั้งที่แต่ก่อนเขาก็ยังไม่เก่งอย่างนี้ มันอาศัยการฝึกฝนในตอนเรียนแพทย์เฉพาะทางนั่นเอง

หู จมูก ลิ้น กาย

ผมคงไม่ต้องบรรยายไปทีละอันแล้ว อธิบายเหมือนเรื่อง ตา นั่นแหละ

สิ่งที่ผมอยากเน้นก็คือ ความสามารถเหล่านี้ จะดีจะเลว จะถูกจะผิด อยู่ที่การนำไปใช้ หากเราตาดี เราจะเอาไปเป็นโจรทิ้งระเบิดได้แม่นยำ หรือจะเป็นหมอเอ็กซเรย์วินิจฉัยโรคให้คนไข้ ก็สุดแต่เรา

ใจ

ใจเป็นอายตนะที่สำคัญที่สุด เพราะมีหน้าที่สำคัญถึง 4 อย่างคือ เห็น จำ คิด รู้ หากหน้าที่ของใจ มีพรสวรรค์ ได้พรแสวง ขึ้นมาเสียแล้ว ย่อมมีพลังที่จะนำมาใช้สอยได้อีกมหาศาล

ผู้ที่(อาจ)โชคดี เกิดมามีพรสวรรค์ทางใจติดตัว สัมผัสทางใจเป็นขึ้นมาแต่กำเนิด อาจ เห็นอะไรได้ด้วยใจ จำอะไรได้ดีกว่าใคร คิดเป็นเหตุเป็นผลจนเป็นอัจฉริยะ หยั่งรู้ในสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยังรู้ไม่ถึง กลายเป็นบุคคลพิเศษ เป็นหมอดูตาทิพย์ บางทีญาติพี่น้องเข้าใจว่าลูกหลานตนเป็นโพธิสัตว์มาเกิด ยกย่องจนเจ้าตัวนึกว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์มาจริงๆ ทั้งที่มันเป็นเพียงพรสวรรค์ของประสาทสัมผัสทางใจเท่านั้น

เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความสามารถเหล่านี้ ต้องมีปัญญากำกับควบคุม เราจะเอามันไปใช้อย่างไร ไม่ให้หลงทาง ไม่ให้หลงตัว ใช้มันให้สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีพรสวรรค์ติดตัว และมาศึกษาเรื่องราวของชีวิตต่อในชาตินี้

การฝึกฝนทางจิตใจเพื่อให้เกิดความสามารถเหล่านี้ ก็คือการออกกำลังทางใจด้วยการทำสมาธิ เกิดเป็นพรแสวงทางใจขึ้น นั่นเอง

เมื่อจิตเป็นขึ้นแล้ว ท่านจะเอาจิตที่มีกำลังนั้นไปทำอะไรต่อ ไปเป็นหมอดู ไปสร้างระเบิดนิวเคลียร์ หรือไปเรียนรู้โลกให้แจ่มแจ้งและหาทางหลุดพ้น

จำไว้ ถูกผิด ดีชั่ว ใช่ไม่ใช่ มันอยู่ที่การนำไปใช้ !

Tuesday, September 7, 2010

วิชชา 18 กาย (1)

ผมไม่ได้จะเขียนบทท่องสอบวิปัสสนาจารย์ซ้ำ แต่ครั้งนี้อยากกล่าวถึงวิชชา 18 กายในหลายๆ แง่มุม เท่าที่จะหยิบยกมากล่าวได้ ทั้งนี้ เป็นมุมมองส่วนตัวของผมเอง

วิชชา 18 กาย เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?

ผมไม่ทราบว่ามีที่ใดอ้างอิงไว้ก่อนหรือไม่ ทราบแต่ข้อมูลเหล่านี้ คือ
พ.ศ.2460 หลวงพ่อวัดปากน้ำค้นพบวิชชาธรรมกาย
พ.ศ.2473 หลวงพ่อวัดปากน้ำเริ่มทำวิชชาปราบมาร
พ.ศ.2481 พระมหาจัน (ปธ.5) รวบรวม คู่มือมรรคผลพิสดาร 1 มี 46 บท แต่กว่าจะออกตีพิมพ์ได้ ก็ปี พ.ศ.2517 หลังหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพไปแล้ว
พ.ศ.2492 มีการตีพิมพ์ คู่มือสมภาร ตามบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชในยุคนั้น ใช้เวลาเรียบเรียงประมาณ 1 ปี จึงทำให้ทราบว่ายุคนั้นค้นคว้าความรู้ไปได้แค่ไหน? สรุปคือ ค้นพบดวงธรรมเริ่มตั้งแต่ 1 ดวงธรรม จนค้นพบ 6 ดวง และกาย 5 กาย การทำละเอียดใช้การเดินฌานสมาบัติเป็นหลัก ทั้งหมดมี 15 บท
6 มี.ค.2492 เทศนากัณฑ์ที่ 2 รัตนตตยคมนปณามคาถา ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ยังกล่าวถึง 6 ดวงธรรม 5 กาย เท่านั้น
25 ส.ค.2496 เทศนากัณฑ์ที่ 3 อาทิตตปริยายสูตร ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เริ่มกล่าวถึง 6 ดวงธรรม 18 กาย เป็นครั้งแรก น่าสังเกตว่า การบันทึกเทศนาของหลวงพ่อในช่วงนี้ มีช่วงว่างถึง 4 ปี เทศน์หลังจากนี้ หลวงพ่ออ้างอิงวิชชา 18 กายมาโดยตลอด

จากข้อมูลข้างต้น ผมจึงขอสรุปว่า วิชชา 18 กายน่าจะเกิดขึ้น ในช่วง พ.ศ.2493-2496 นั่นเอง หากท่านใดมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ ได้โปรดแบ่งปันด้วยนะครับ

พ.ศ.2502 หลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพ แสดงว่าวิชชา 18 กายเกิดมาในช่วงไม่ถึง 10 ปีในยุคหลังๆ ของหลวงพ่อ


คำว่า วิชชาชั้นสูง

คือ วิชชาที่เรียนรู้โดยอาศัยรู้ญาณของกายธรรม


การเดินวิชชา 18 กาย หลังยุคหลวงพ่อ คุณลุงท่านว่าไม่มีใครเดินวิชชานี้ได้ตลอดรอดฝั่งเลย จึงต้องใช้วิธีเหนี่ยวนำให้เกิดกายธรรมเบื้องต้นขึ้นมาก่อน แล้วใช้รู้ญาณของกายธรรมช่วยเดินวิชชา 18 กาย จึงจะตลอดรอดฝั่ง

วิชชา 18 กายจึงเป็นวิชชาชั้นสูง คุณลุงเคยพูดในเทปบอกนำวิชชาตอนหนึ่ง ตอนนั้น เสียงของคุณลุงเริ่มไม่มีแล้ว ท่านกล่าวถึงขนาดที่ว่า ไม่มีวิชชาใดสูงไปกว่านี้อีกแล้ว


วิทยากรต้องเดินวิชชา 18 กายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า และก่อนนอน

เปรียบเสมือนการกางร่มกันฝนไม่ให้เปียกถูกตัวเรา


การแก้ ทุกข์ ภัย โรค

แต่เดิมเราอาจต้องทำวิชชาแก้หลายขั้นตอน ปัจจุบัน คุณลุงเรียกผมเข้าไปสอน โดยบอกแล้วบอกอีกว่า ให้เดิน 18 กายเข้าไว้ ปัญหาทั้งปวงจะดีเอง แต่เดิมผมคิดว่าวิชชาเราหดตัว แต่เมื่อพิจารณาอีกมุมหนึ่ง กลายเป็นว่าวิชชานี้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เพียงการเดิน 18 กายก็แก้ทุกข์ภัยโรคได้ ไม่ต้องเปลืองขั้นตอนอื่น

ตัวอย่างปัญหาต่างๆ เช่น เจ้านายหยาบคาย งูพิษหลงเข้ามาในบ้าน เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น
เรื่องทุกข์ภัยโรค ให้ดูอีกบทความหนึ่งด้วย

สุดท้าย ขอทิ้งเรื่องวิชชา 18 กาย ในมุมมองของผมไว้แค่นี้ก่อนครับ