ความตอนนี้ ฟังหูไว้หู นะครับ
เรื่อง ปราบมาร ไม่ใช่จะมาพูดกันเล่นๆ เพราะมารขัดขวางเต็มกำลัง ยากแก่การเผยแพร่สู่โลกภายนอก
แต่ปัจจุบัน งานปราบมารของคุณลุงซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ในทางธรรมของพวกเรา
มาถึงจุดสำคัญจริงๆ แล้ว
ในภาค 3 ผมได้เขียนถึงตำราวิชาธรรมกายในยุคของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ในตอน
วิชาปราบมาร ว่าไม่มีตำราเขียนไว้ชัดเจน ความรู้ที่สืบทอดมาจึงเป็นเพียงการบอกเล่าต่อๆ
กันในหมู่ผู้เป็นวิชาธรรมกายชั้นสูงที่เข้าเวรอยู่ในโรงงานทำวิชา
มีผู้เคยถามหลวงพ่อว่าทำไมไม่ทำตำราปราบมารไว้บ้างเลย ท่านตอบว่ามารเขาห้ามไว้
แต่ยุคปัจจุบัน มีตำราปราบมารออกสู่สาธารณะแล้ว 6 ภาค
บรรยายทั้งภาควิชาการ และเหตุการณ์ ที่ต่อเนื่องลุ่มลึกไปตามลำดับ
ผมไม่อาจบรรยายซ้ำโดยละเอียดได้ เพราะเนื้อหาซับซ้อนมาก ท่านควรหาอ่านให้ครบ หลายแห่งอาจทำตำราในชื่อเดียวกัน
ซึ่งผมติดตามหาอ่านและศึกษามาโดยตลอดแทบทุกแห่ง พบว่าส่วนใหญ่
แม้แต่คำจำกัดความของคำว่า “มาร” ก็ไม่มีอยู่ในหนังสือ ส่วนเนื้อหา ก็เป็นหัวข้อธรรมะทั้งหลายซึ่งเป็นลักษณะคำสอนทั่วไป
ให้คนเราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ก็คือภาคโปรดนั่นเอง ไม่ใช่ภาคปราบ
เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ตอนที่ 1 ซึ่งกล่าวถึงอดีต แต่ตอนนี้ กล่าวถึงอนาคต
มันอาจไม่เป็นอย่างที่กล่าวก็ได้ แต่มันคือแนวโน้มที่อาจจะเป็นไปได้ โดยอ้างอิงจากหนังสือ
ปราบมาร เล่มที่ 1 ถึง 6 ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ขอให้ยึดหลักกาลามสูตร
เข้าไว้
โดยสรุป มารคือผู้ขัดขวางคุณงามความดี และยังมีความหมายอีกหลายนัยยะ แบ่งเป็นหมวดหมู่ได้หลายรูปแบบ
ในพระไตรปิฎกแบ่งไว้ถึง 9 รูปแบบ (ปราบมาร 1 หน้า 1) แต่การปฏิบัติทางญาณทัสสนะ
ไม่ว่าอะไร ถ้าไม่ขาวและไม่ใส ถือว่าเป็นมารทั้งนั้น การปราบมาร ก็คือการกระทำใดใด
ให้ความไม่ขาวไม่ใสดับไป และทำให้เกิดความขาวใสขึ้นมาแทน
วิธีปกครองของมาร มี 2 อย่าง คือ ปกครองใหญ่ ได้แก่ ปกครองธาตุธรรม
ปกครองนิพพาน กับ ปกครองย่อย ได้แก่ ปกครองภพ 3 นั่นคือเขาปกครองหมด ไม่ว่าใคร
ตามที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์ภาค 1 นั่นเอง
ในตำรายังมีรายละเอียดอีกมาก แต่ขอกล่าวต่ออย่างรวบรัด
การวางแผนปราบมารของคุณลุง ก็พุ่งเป้าไปที่ “ปกครองใหญ่” ก่อน
โดยเริ่มรบมาตั้งแต่วันเข้าพรรษาปี พ.ศ.2527 ท่ามกลางความลำบากทั้งปวงที่จะพึงมี
แพ้บ้างชนะบ้าง ถึงกับจะประกาศเอกราช (การรบชนะ) มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่ได้สักที
บางคราวความชนะปรากฏอยู่นานมาก จนเข้าใจว่ามารหมดแล้ว สักพักก็พบมารอีก
ในบันทึกมีเหตุการณ์ขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้มาตลอด ตั้งแต่เริ่มปราบมารปีแรกๆ ประกาศเอกราชและวันสำคัญไปบ้างหลายครั้ง
จนกระทั่งถึงยุคตำราปราบมาร 6 ซึ่งอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2547-2548 เป็นช่วงที่มีบันทึกว่ามารห่างหายไปจากนิพพานเป็นเวลานาน
แม้ยังพบอยู่ประปราย
จนธาตุธรรมส่วนใหญ่มีความตั้งใจจะประกาศว่าหมดมารอยู่หลายครั้ง
และเป็นช่วงที่การปราบมารเริ่มรุกคืบมายังปกครองย่อย (ภพ 3) แต่เรายังไม่เห็นเหตุการณ์ชัดๆ
ในภาคภพ 3 ตามที่จดบันทึกไว้
มาถึงปัจจุบัน ย่างเข้าสู่ปี พ.ศ.2554-2555 ห่างจากยุคในตำราปราบมารภาค 6 มาประมาณ 7-8 ปี มาถึงเวลานี้ หากจะมีประกาศว่า “หมดมาร”
ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนในโลกมนุษย์ที่เรายังอาศัยอยู่ เราจะพิจารณาอย่างไร
เราจะวินิจฉัยอะไร เราต้องตั้งตัวชี้วัดขึ้น แต่ก็ต้องรอบคอบว่า เป็นตัวชี้วัดที่ถูกต้องจริงๆ
กับเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย
เราเปิดตำรารุ่นแรกคือ ปราบมารภาค 1 หน้า 157 เรื่องข้อพิสูจน์ว่าหมดมาร
คือเหตุการณ์ทางโลก จะดีขึ้น และเหตุการณ์ทางธรรม จะดีขึ้น
นั่นเป็นผลลัพธ์ที่คาดหวัง แต่ความเป็นไปเหล่านี้จะช้าเร็วทันใจเราขนาดไหน
เมื่อดูความเป็นมาว่า เราถูกปกครอง จนไม่เป็นตัวของตัวเองมานานแสนนาน เปรียบเสมือนประเทศที่เพิ่งโค่นล้มผู้นำเผด็จการ (แถมต่างถิ่นด้วย) ได้สำเร็จ คงเหลือแต่ประเทศที่บอบช้ำ ที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างหนัก
จากประสบการณ์ปราบมารของครู พบว่าท่านเริ่มต้นจาก ปกครองใหญ่ มาก่อน
แล้วทะยอยประกาศเอกราชมาเป็นระยะๆ หลายช่วงเวลา ความชนะทั้งปวงที่เราอ่านเจอจากตำรา
ล้วนเป็นความชนะที่เกิดจากการไม่พบเห็นมารในปกครองใหญ่แล้ว เป็นส่วนใหญ่
เมื่อเป็นดังนี้ ตัวชี้วัดว่ามารหมดก็น่าจะเริ่มจากตัวชี้วัดในระดับนิพพาน
ซึ่งยากแก่การรู้เห็น เพราะต้องอาศัยรู้ญาณของผู้ได้ธรรมกายอย่างแก่กล้ามากๆ
เท่านั้น แม้เรารู้เห็นบ้าง ก็ยังไม่อาจเชื่อรู้ญาณนั้นได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เราลองพิจารณาตัวชี้วัดเหล่านี้ดู หากนิพพานเป็นบรมสุขขึ้นมาจริงๆ
สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเดินวิชชาเข้านิพพาน ก็น่าจะรู้สึกได้ถึงความสว่างไสวอันมากกว่าที่เคยเป็นมา
อาจจะเห็นพระพุทธองค์ทรงบันเทิง และช่วงเวลานี้ ก็มีผู้เห็นโดยรู้ญาณเช่นนั้นจริงๆ
เวลาเดินวิชชาอาราธนาให้พระพุทธองค์มาชูช่วยเรา ก็เห็นพระองค์และจักรพรรดิ์มากมายก่ายกองมาช่วยเราได้อย่างเต็มกำลัง
เกิดผลสำเร็จอัศจรรย์จากการเดินวิชามากขึ้น และง่ายขึ้น
ที่สำคัญ คือ งานใดใดที่เป็นความสำคัญของธาตุธรรม โดยเฉพาะการสอน(ให้เกิด)ธรรม
จะมีความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์กว่าแต่ก่อน รวมถึงงานสอนจะทยอยเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยพบปัญหาและอุปสรรคน้อยลงกว่ายุคก่อน
ซึ่งผมสังเกตมาตลอด 10 กว่าปี ว่างานสอนธรรมไม่เคยลดปริมาณ และคุณภาพลงเลย
ไม่ว่าผู้สอนจะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปเช่นไร ผู้สอนหรือผู้เคยสอนจะไปหกคะเมนตีลังกาอย่างไร
งานสอนธรรมซึ่งถือเป็นงานของธาตุธรรม ไม่เคยลดลง และผมมีความเชื่อมั่นเสมอมาว่า
ไม่มีใครขวางงานสอนได้
ส่วนภาคของภพ 3 เราคงต้องดูกันอีกหน่อย ซึ่งไม่น่ายากแล้ว
แม้มารระดับปกครองใหญ่ส่วนหนึ่งจะหนีลงมายังภพ 3 ก็ตาม เกิดความเข้มข้นของผลงานของเขาไปทั่ว
ทำให้ตัวชี้วัดในระดับภพ 3 หรือโลกมนุษย์ ยังบอกอะไรเราได้ไม่ดีนัก
ถึงกระนั้น เราต้องทำความเข้าใจว่า หากใครก็ตามสามารถเดินวิชาเข้านิพพานได้อย่างสม่ำเสมอ
หรือหากสามารถเดินวิชาอาราธนาธาตุธรรมในนิพพานให้มาชูช่วยเราได้ (ทำวิชชา) ท่านน่าจะปลอดภัยกว่าใคร
เพราะโดยหลักการ ธาตุธรรมย่อมมาชูช่วยพวกเราได้สะดวกกว่ายุคก่อนๆ เปรียบเสมือน มีงบประมาณอยู่แล้ว
หากผู้ใดผันงบประมาณมาใช้ได้ ผู้นั้นก็เจริญ
เป็นยังไงบ้างครับ มันจะเป็นจริงหรือเปล่าหนอ เราก็ต้องดูกันต่อไป